Main navigation

ยอดธรรมเพื่อการหลุดพ้น

พระสารีบุตรแสดงธรรมแก่ภิกษุทั้งหลายว่า ดูกรผู้มีอายุทั้งหลาย เราจักกล่าวธรรมอย่างสูงสิบหมวด สำหรับเปลื้องกิเลสเครื่องร้อยรัดทั้งหมด เพื่อถึงพระนิพพาน เพื่อกระทำที่สุดแห่งทุกข์ อันเป็นของจริง แท้ แน่นอน ไม่ผิดพลาดไม่เป็นอย่างอื่น อันพระตถาคตตรัสรู้แล้วโดยชอบ

 

ธรรมหนึ่ง

ดูกรผู้มีอายุทั้งหลาย ธรรมอย่างหนึ่งมีอุปการะมาก คือ ความไม่ประมาทในกุศลธรรม

ธรรมอย่างหนึ่งควรให้เจริญ คือ กายคตาสติอันประกอบด้วยความสำราญ

ธรรมอย่างหนึ่งควรกำหนดรู้ คือ ผัสสะที่ยังมีอาสวะมีอุปาทาน

ธรรมอย่างหนึ่งควรละ คือ อัสมิมานะ

ธรรมอย่างหนึ่งเป็นไปในส่วนข้างเสื่อม คือ การกระทำไว้ในใจโดยไม่แยบคาย

ธรรมอย่างหนึ่งเป็นไปในส่วนข้างวิเศษ คือ การกระทำไว้ในใจโดยแยบคาย

ธรรมอย่างหนึ่งแทงตลอดได้ยาก  คือ เจโตสมาธิอันไร้ขอบเขต

ธรรมอย่างหนึ่งควรให้บังเกิดขึ้น คือ ญาณที่ไม่กำเริบ

ธรรมอย่างหนึ่งควรรู้ยิ่ง คือ สัตว์ทั้งหลายทั้งปวงมีอาหารเป็นที่ตั้ง

ธรรมอย่างหนึ่งควรทำให้แจ้ง คือ เจโตวิมุตติอันไม่กำเริบ

 

ธรรมสอง

ธรรม ๒ อย่างที่มีอุปการะมาก คือ สติ และ สัมปชัญญะ

ธรรม ๒ อย่างที่ควรให้เจริญ คือ สมถะ และ วิปัสนา

ธรรม ๒ อย่างที่ควรกำหนดรู้ คือ นาม และ รูป

ธรรม ๒ อย่างที่ควรละ คือ อวิชชา และ ภวตัณหา

ธรรม ๒ อย่างที่เป็นไปในส่วนข้างเสื่อม คือ ความเป็นผู้ว่ายาก และความเป็นผู้มีมิตรชั่ว

ธรรม ๒ อย่างที่เป็นไปในส่วนข้างวิเศษ คือ ความเป็นผู้ว่าง่าย และความเป็นผู้มีมิตรดี

ธรรม ๒ อย่างที่แทงตลอดได้ยาก คือ สิ่งใดเป็นเหตุ เป็นปัจจัยเพื่อความเศร้าหมองของเหล่าสัตว์ และ สิ่งใดเป็นเหตุ เป็นปัจจัยเพื่อความบริสุทธิ์ของเหล่าสัตว์

ธรรม ๒ อย่างที่ควรให้บังเกิดขึ้น คือ ญาณในความสิ้นไป และ ญาณในความไม่บังเกิดขึ้น 

ธรรม ๒ อย่างที่ควรรู้ยิ่ง คือ สังขตธาตุ และ อสังขตธาตุ

ธรรม ๒ อย่างที่ควรทำให้แจ้ง คือ วิชชา และ วิมุตติ

 

ธรรมสาม

ธรรม ๓ อย่างที่มีอุปการะมาก คือ การคบหาสัตบุรุษ ๑ การฟังธรรมของสัตบุรุษ ๑ การปฏิบัติธรรมสมควรแก่ธรรม ๑

ธรรม ๓ อย่างที่ควรให้เจริญ คือ สมาธิมีวิตกมีวิจาร ๑ สมาธิไม่มีวิตกมีแต่วิจาร ๑ สมาธิไม่มีวิตกไม่มีวิจาร ๑

ธรรม ๓ อย่างที่ควรกำหนดรู้ คือ สุขเวทนา  ทุกขเวทนา  อทุกขมสุขเวทนา

ธรรม ๓ อย่างที่ควรละ คือ กามตัณหา ภวตัณหา วิภวตัณหา

ธรรม ๓ อย่างที่เป็นไปในส่วนข้างเสื่อม คือ อกุศลมูลคือโลภะ ๑ อกุศลมูลคือโทสะ ๑ อกุศลมูลคือโมหะ ๑

ธรรม ๓ ที่เป็นไปในส่วนข้างวิเศษ คือ กุศลมูลคืออโลภะ ๑ กุศลมูลคืออโทสะ ๑ กุศลมูลคือ อโมหะ ๑

ธรรม ๓ อย่างที่แทงตลอดได้ยาก คือเนกขัมมะเป็นที่ถ่ายถอนกาม ๑ อรูปเป็นที่ถ่ายถอนรูป ๑นิโรธเป็นที่ถ่ายถอนสิ่งที่เกิดแล้ว อันปัจจัยปรุงแต่งแล้ว อาศัยเหตุเกิดขึ้นแล้วอย่างใดอย่างหนึ่ง ๑

ธรรม ๓ อย่างที่ควรให้บังเกิดขึ้น คือ อตีตังสญาณ ๑ อนาคตังสญาณ ๑ ปัจจุปันนังสญาณ ๑

ธรรม ๓ อย่างที่ควรรู้ยิ่ง คือ กามธาตุ ๑ รูปธาตุ ๑ อรูปธาตุ ๑

ธรรม ๓ อย่างที่ควรทำให้แจ้ง คือ ระลึกถึงชาติหนหลังได้ ๑ รู้ในการจุติและอุปบัติของสัตว์ทั้งหลาย ๑ ความสิ้นไปแห่งอาสวะทั้งหลาย ๑

 

ธรรมสี่

ธรรม ๔ อย่างที่มีอุปการะมาก คือ การอยู่ในประเทศอันสมควร ๑ การคบสัตบุรุษ ๑ การตั้งตนไว้ชอบ ๑ ความเป็นผู้มีบุญกระทำไว้แล้วในปางก่อน ๑

ธรรม ๔ อย่างที่ควรให้เจริญ คือ สติปัฏฐาน ๔ มีความเพียร มีสัมปชัญญะ มีสติ พึงกำจัดความยินดีความยินร้ายในโลกเสียได้ 
พิจารณาเห็นกายในกายเนืองๆ อยู่ ๑ 
พิจารณาเห็นเวทนาในเวทนาเนืองๆ อยู่ ๑ 
พิจารณาเห็นจิตในจิตเนืองๆ อยู่ ๑ 
พิจารณาเห็นธรรมในธรรมเนืองๆ อยู่ ๑

ธรรม ๔ อย่างที่ควรกำหนดรู้ คือ อาหาร ๔ ได้แก่กวฬิงการาหาร ๑ ผัสสาหาร ๑ มโนสัญเจตนาหาร  ๑ วิญาณาหาร ๑

ธรรม ๔ อย่างที่ควรละ คือ กาม ๑ ภพ ๑ ทิฐิ ๑ อวิชชา ๑

ธรรม ๔ อย่างที่เป็นไปในส่วนข้างเสื่อม คือ กามโยคะ ภพโยคะ ทิฐิโยคะ และอวิชชาโยคะ

ธรรม ๔ อย่างที่เป็นไปในส่วนข้างวิเศษ คือ ความพรากจากกาม ๑ ความพรากจากภพ ๑ ความพรากจากทิฐิ ๑ ความพรากจากอวิชชา ๑

ธรรม ๔ อย่างที่แทงตลอดได้ยาก คือ สมาธิเป็นไปในส่วนข้างเสื่อม ๑ สมาธิเป็นไปในส่วนข้างทรงอยู่ ๑ สมาธิเป็นไปในส่วนข้างวิเศษ ๑ สมาธิเป็นไปในส่วนข้างแทงตลอด ๑

ธรรม ๔ อย่างที่ควรให้บังเกิดขึ้น คือ ญาณในธรรม ๑ ญาณในความคล้อยตาม ๑ ญาณในความกำหนด ๑ ญาณในสมมติ ๑

ธรรม ๔ อย่างที่ควรรู้ยิ่ง คือ ทุกขอริยสัจ ๑ ทุกขสมุทัยอริยสัจ ๑ ทุกขนิโรธอริยสัจ ๑ ทุกขนิโรธคามีนีปฏิปทาอริยสัจ ๑

ธรรม ๔ อย่างที่ควรทำให้แจ้ง คือ โสดาปัตติผล ๑สกทาคามิผล ๑ อนาคามิผล ๑ อรหัตตผล ๑

 

ธรรมห้า

ธรรม ๕ อย่างที่มีอุปการะมาก คือ 

เป็นผู้มีศรัทธาเชื่อพระปัญญาตรัสรู้ของพระตถาคต ๑ 
เป็นผู้มีอาพาธน้อย มีทุกข์น้อย ๑ 
เป็นผู้ไม่โอ้อวด ไม่มีมายา กระทำตนให้แจ้งตามเป็นจริง  ๑
มีกำลัง มีความบากบั่นมั่นคง ไม่ทอดธุระในกุศลธรรม ๑ 
เป็นผู้มีปัญญา อันเห็นความเกิดและความดับอันเป็นอริยะ ๑

ธรรม ๕ อย่างที่ควรให้เจริญ คือ

สัมมาสมาธิ อันประกอบด้วย ปีติแผ่ไป ๑
สุขแผ่ไป ๑
การกำหนดใจผู้อื่นแผ่ไป ๑
แสงสว่างแผ่ไป ๑
นิมิตเป็นเครื่องพิจารณา ๑

ธรรม ๕ อย่างที่ควรกำหนดรู้ คือ อุปาทานในรูป เวทนา สัญญา สังขาร วิญญาณ

ธรรม ๕ อย่างที่ควรละ คือ กาม ๑ พยาบาท ๑ ความหดหู่ ๑ ความฟุ้งซ่าน ๑ ความสงสัยลังเล ๑

ธรรม ๕ อย่างที่เป็นไปในส่วนข้างเสื่อม คือ 

ความเคลือบแคลง สงสัย ไม่น้อมใจ ไม่เลื่อมใสในพระศาสดา ๑ 
ความเคลือบแคลง สงสัย ไม่น้อมใจ ไม่เลื่อมใสในพระธรรม ๑ 
ความเคลือบแคลง สงสัย ไม่น้อมใจ ไม่เลื่อมใสในพระสงฆ์ ๑ 
ความเคลือบแคลง สงสัย ไม่น้อมใจ ไม่เลื่อมใสในการศึกษา ๑ 
เป็นผู้โกรธ มีใจไม่แช่มชื่น ขัดใจ มีใจกระด้าง ๑

ธรรม ๕ อย่างที่เป็นไปในส่วนข้างวิเศษ คือ ศรัทธา ๑ วิริยะ ๑ สติ ๑ สมาธิ ๑ ปัญญา ๑

ธรรม ๕ อย่างที่แทงตลอดได้ยาก คือ

เนกขัมมะ พรากแล้วจากกามทั้งหลาย ๑
ความไม่พยาบาท พรากแล้วจากความพยาบาท ๑
ความไม่เบียดเบียน พรากแล้วจากความเบียดเบียน ๑
อรูป พรากแล้วจากรูปทั้งหลาย ๑
ความดับกายของตน พรากแล้วจากกายของตน ๑

ธรรม ๕ อย่างที่ควรให้บังเกิดขึ้น คือ 

สมาธิมีสุขในปัจจุบัน และมีสุขเป็นวิบาก ๑ 
สมาธิเป็นอริยะไม่มีอามิส ๑ 
สมาธิอันบุรุษผู้ไม่ต่ำช้าเสพแล้ว ๑ 
สมาธิสงบ ประณีต มีปฏิปัสสัทธิอันได้แล้ว ถึงความเป็นธรรมเอกผุดขึ้น ๑ 
มีสติ เข้าสมาธิ มีสติ ออกจากสมาธิ ๑

ธรรม ๕ อย่างที่ควรรู้ยิ่ง คือ วิมุตตายตนะ การรู้อรรถ รู้ธรรมทั่วถึง ปราโมทย์ย่อมเกิด ปีติย่อมเกิด กายย่อมสงบ ย่อมได้เสวยสุข จิตย่อมตั้งมั่น ด้วย 

การฟังธรรมจากพระศาสดา ๑ 
การฟังธรรมจากครูอาจารย์ ๑ 
การสาธยายธรรม ๑ 
การตรึกตาม ตรอง เพ่งตามธรรม ๑ 
การแทงตลอดสมาธินิมิตด้วยปัญญา ๑

ธรรม ๕ อย่างที่ควรทำให้แจ้ง คือ ธรรมขันธ์ ได้แก่ สีลขันธ์ ๑ สมาธิขันธ์ ๑ ปัญญาขันธ์ ๑ วิมุตติขันธ์ ๑ วิมุตติญาณทัสสนขันธ์ ๑

 

ธรรมหก

ธรรม ๖ อย่างที่มีอุปการะมาก กระทำให้เป็นที่รัก ให้เป็นที่เคารพ เป็นไปเพื่อความสงเคราะห์กันเพื่อความไม่วิวาทกัน เพื่อความพร้อมเพรียงกัน เพื่อความเป็นอันหนึ่งอันเดียวกัน คือ 

ตั้งกายกรรมประกอบด้วยเมตตาในเพื่อนพรหมจรรย์ทั้งหลาย ทั้งต่อหน้าและลับหลัง ๑ 
ตั้งวจีกรรมประกอบด้วยเมตตาในเพื่อนพรหมจรรย์ทั้งหลายทั้งต่อหน้าและลับหลัง ๑ 
ตั้งมโนกรรม ประกอบด้วยเมตตาในเพื่อนพรหมจรรย์ทั้งหลายทั้งต่อหน้าและลับหลัง ๑ 
แบ่งปันลาภอันประกอบด้วยธรรม ได้มาโดยธรรมกับเพื่อนพรหมจรรย์ ผู้มีศีลทั้งหลาย ๑ 
มีศีลเสมอกันกับเพื่อนพรหมจรรย์ทั้งหลาย ศีลไม่ขาด ไม่ทะลุ ไม่ด่าง ไม่พร้อย เป็นไทย อันวิญญูชนสรรเสริญแล้ว อันตัณหาและทิฐิ ไม่แตะต้องแล้ว เป็นไปเพื่อสมาธิ ทั้งต่อหน้าและลับหลัง ๑ 
มีทิฐิอันประเสริฐ นำออกจากทุกข์ นำผู้ปฏิบัติตามเพื่อความสิ้นทุกข์ โดยชอบเสมอกันกับเพื่อนพรหมจรรย์ทั้งหลายทั้งต่อหน้าและลับหลัง ๑

ธรรม ๖ อย่างที่ควรให้เจริญ คือ ระลึกถึงคุณพระพุทธเจ้า ๑ ระลึกถึงคุณพระธรรม ๑ ระลึกถึงคุณพระสงฆ์ ๑ ระลึกถึงศีล ๑ ระลึกถึงทานที่ตนบริจาค ๑ ระลึกถึงคุณที่ทำบุคคลให้เป็นเทวดา ๑

ธรรม ๖ อย่างที่ควรกำหนดรู้ คือ ตา ๑ หู ๑ จมูก ๑ ลิ้น ๑ กาย ๑ ใจ ๑

ธรรม ๖ อย่างที่ควรละ คือตัณหาในรูป ๑ ตัณหาในเสียง ๑ ตัณหาในกลิ่น ๑ ตัณหาในรส ๑ ตัณหาในโผฏฐัพพะ ๑ ตัณหาในธรรม ๑

ธรรม ๖ อย่างที่เป็นไปในส่วนข้างเสื่อม คือ ไม่มีความเคารพ ไม่เชื่อฟัง ในพระศาสดา ๑ ในพระธรรม ๑ ในพระสงฆ์ ๑ ในความศึกษา ๑ ในความไม่ประมาท ๑ ในปฏิสันถาร(การสนทนา) ๑

ธรรม ๖ อย่างที่เป็นไปในส่วนข้างเจริญ คือความเคารพเชื่อฟังในพระศาสดา ๑ ในพระธรรม ๑ในพระสงฆ์ ๑ ในความศึกษา ๑ ในความไม่ประมาท ๑ ในความปฏิสันถาร(การสนทนา)  ๑

ธรรม ๖ อย่างที่แทงตลอดได้ยาก คือธาตุเป็นที่ตั้งแห่งความสลัดออก ได้แก่ 

๑. เมตตาเจโตวิมุตติเป็นที่สลัดออกจากพยาบาท 
๒. กรุณาเจโตวิมุตติ เป็นที่สลัดออกจากการเบียดเบียน 
๓. มุทิตาเจโตวิมุตติ เป็นที่สลัดออกจากอรติ(ความไม่พอใจ)  
๔. อุเบกขาเจโตวิมุตติ เป็นที่สลัดออกจากราคะ 
๕. เจโตวิมุตติอันหานิมิตมิได้ เป็นที่สลัดออกจากนิมิตทั้งปวง 
๖. ความถอนขึ้นซึ่งอัสมิมานะนี้เป็นที่สลัดออกจากลูกศรคือความเคลือบแคลงสงสัย

ธรรม ๖ อย่างที่ควรให้บังเกิดขึ้น คือ ไม่ดีใจ ไม่เสียใจ เป็นผู้วางเฉย มีสติสัมปชัญญะอยู่ ในการ เห็นรูปด้วยจักษุ ๑ ฟังเสียงด้วยหู ๑ ลิ้มรสด้วยลิ้น ๑ สูดกลิ่นด้วยจมูก ๑ ถูกต้องโผฏฐัพพะด้วยกาย ๑ รู้ธรรมารมณ์ด้วยใจ ๑

ธรรม ๖ อย่างที่ควรรู้ยิ่ง คือทัสสนานุตตริยะ ๑ สวนานุตตริยะ ๑ ลาภานุตตริยะ ๑ สิกขานุตตริยะ ๑ ปริจริยานุตตริยะ ๑ อนุสสตานุตตริยะ ๑

ธรรม ๖ อย่างที่ควรทำให้แจ้ง คืออภิญญา ๖

๑. บรรลุอิทธิวิธีหลายประการ คือคนเดียวเป็นหลายคนก็ได้หลายคนเป็นคนเดียวก็ได้ ทำให้ปรากฏก็ได้ ทำให้หายก็ได้ ทะลุฝากำแพงภูเขาไปได้ไม่ติดขัดเหมือนไปในที่ว่างก็ได้ ผุดขึ้นดำลงแม้ในแผ่นดินเหมือนในน้ำก็ได้เดินบนน้ำไม่แตกเหมือนเดินบนแผ่นดินก็ได้ เหาะไปในอากาศเหมือนนกก็ได้ลูบคลำพระจันทร์พระอาทิตย์ ซึ่งมีฤทธิ์มีอานุภาพมากด้วยฝ่ามือก็ได้ ใช้อำนาจทางกายไปตลอดพรหมโลกก็ได้ ๑
๒. ย่อมได้ยินเสียง ๒ ชนิด คือ เสียงทิพย์และเสียงมนุษย์ทั้งที่อยู่ไกลและใกล้ ด้วยทิพยโสตธาตุอันบริสุทธิ์ล่วงโสตของมนุษย์ 
๓. ย่อมรู้กำหนดรู้ใจของสัตว์อื่นของบุคคลอื่นด้วยใจ คือจิตมีราคะ ก็รู้ว่าจิตมีราคะ หรือจิตปราศจากราคะ ก็รู้ว่าจิตปราศจากราคะ จิตมีโทสะก็รู้ว่าจิตมีโทสะ หรือจิตปราศจากโทสะ ก็รู้ว่าจิตปราศจากโทสะ จิตมีโมหะก็รู้ว่าจิตมีโมหะ หรือจิตปราศจากโมหะก็รู้ว่าจิตปราศจากโมหะ จิตหดหู่ก็รู้ว่าจิตหดหู่ จิตฟุ้งซ่านก็รู้ว่าจิตฟุ้งซ่าน จิตเป็นมหรคตก็รู้ว่าจิตเป็นมหรคต หรือจิตไม่เป็นมหรคตก็รู้ว่าจิตไม่เป็นมหรคต จิตมีจิตอื่นยิ่งกว่าก็รู้ว่าจิตมีจิตอื่นยิ่งกว่า หรือจิตไม่มีจิตอื่นยิ่งกว่าก็รู้ว่าจิตไม่มีจิตอื่นยิ่งกว่า จิตเป็นสมาธิ ก็รู้ว่าจิตเป็นสมาธิ หรือจิตไม่เป็นสมาธิ ก็รู้ว่าจิตไม่เป็นสมาธิ จิตหลุดพ้นก็รู้ว่าจิตหลุดพ้น หรือจิตไม่หลุดพ้น ก็รู้ว่าจิตไม่หลุดพ้น
๔. ย่อมระลึกชาติก่อนได้เป็นอันมาก
๕. ย่อมเห็นหมู่สัตว์ที่กำลังจุติ กำลังอุปบัติ เลว ประณีตมีผิวพรรณดี มีผิวพรรณทราม ได้ดี ตกยาก ด้วยทิพยจักษุอันบริสุทธิ์ล่วงจักษุของมนุษย์ ย่อมรู้ชัดซึ่งหมู่สัตว์ผู้เป็นไปตามกรรม
๖. ทำให้แจ้งเจโตวิมุตติ ปัญญาวิมุตติ อันหาอาสวะมิได้ ด้วยปัญญาอันยิ่งเองในปัจจุบันเทียวเข้าถึงอยู่

 

ธรรมเจ็ด

ธรรม ๗ อย่างที่มีอุปการะมาก ได้แก่อริยทรัพย์ ๗ คือ ศรัทธา ศีล หิริ โอตตัปปะ สุตะ จาคะ ปัญญา

ธรรม ๗ อย่างที่ควรให้เจริญ ได้แก่โพชฌงค์ ๗ คือ สติ ธัมมวิจย วิริยะ ปีติ ปัสสัทธิ สมาธิ อุเบกขา

ธรรม ๗ อย่างที่ควรกำหนดรู้  ได้แก่วิญญาณฐิติ ๗ คือ

๑. สัตว์พวกหนึ่งมีกายต่างกัน มีสัญญาต่างกันเช่นพวกมนุษย์ พวกเทพบางหมู่ พวกเปรตบางหมู่
๒. สัตว์พวกหนึ่งมีกายต่างกัน มีสัญญาอย่างเดียวกัน เช่นพวกเทพผู้นับเนื่องในพวกพรหม ซึ่งเกิดในภูมิปฐมฌาน
๓. สัตว์พวกหนึ่งมีกายอย่างเดียวกัน มีสัญญาต่างกัน เช่นพวกเทพเหล่า อาภัสสรพรหม
๔. สัตว์พวกหนึ่ง มีกายอย่างเดียวกัน มีสัญญาอย่างเดียวกัน เช่นพวกเทพเหล่าสุภกิณหพรหม
๕. สัตว์พวกหนึ่ง เข้าถึงอากาสานัญจายตนะ ด้วยมนสิการว่า อากาศหาที่สุดมิได้
๖. สัตว์เหล่าหนึ่ง เข้าถึงชั้นวิญญาณัญจายตนะ ด้วยมนสิการว่า วิญญาณหาที่สุดมิได้
๗. สัตว์เหล่าหนึ่ง เข้าถึงชั้นอากิญจัญญายตนะด้วยมนสิการว่า ไม่มีอะไรๆ

ธรรม ๗ อย่างที่ควรละ ได้แก่อนุสัย ๗ คือ กามราคะ ปฏิฆะ ทิฐิ ความสงสัยลังเล มานะ  ภวราคะ อวิชชา

ธรรม ๗ อย่างที่เป็นไปในส่วนข้างเสื่อม ได้แก่อสัทธรรม ๗ คือ เป็นผู้ไม่มีสัทธา ไม่มีหิริ ไม่มีโอตัปปะ มีสุตะน้อย เกียจคร้าน หลงลืมสติมีปัญญาทราม

ธรรม ๗ อย่างที่เป็นไปในส่วนข้างเจริญ ได้แก่สัทธรรม ๗ คือ เป็นผู้มีสัทธา มีหิริ มีโอตัปปะ มีสุตะมาก ปรารภความเพียร เข้าไปตั้งสติไว้มีปัญญา

ธรรม ๗ อย่างที่แทงตลอดได้ยาก ได้แก่สัปปุริสธรรม ๗ คือ เป็นผู้รู้เหตุ รู้ผล รู้จักตนรู้ประมาณ รู้กาลเวลา รู้บริษัท รู้จักเลือกบุคคล

ธรรม ๗ อย่างที่ควรให้บังเกิดขึ้น ได้แก่สัญญา ๗ คือ อนิจจสัญญา อนัตตสัญญา อสุภสัญญา อาทีนวสัญญา ปหานสัญญา วิราคสัญญา นิโรธสัญญา

ธรรม ๗ อย่างที่ควรรู้ยิ่ง ได้แก่นิททสวัตถุ ๗ คือ

เป็นผู้มีฉันทะกล้าในการสมาทานสิกขา ๑
มีฉันทะกล้าในการพิจารณาธรรม ๑
มีฉันทะกล้าในการกำจัดความอยาก ๑
มีฉันทะกล้าในการหลีกออกเร้นอยู่ ๑
มีฉันทะกล้าในการปรารภความเพียร ๑
มีฉันทะกล้าในสติและปัญญาเครื่องรักษาตน ๑
มีฉันทะกล้าในการแทงตลอดด้วยอำนาจความเห็น ๑

ธรรม ๗ อย่างที่ควรทำให้แจ้ง ได้แก่กำลังของพระขีณาสพ คือการเห็นด้วยปัญญาอันชอบตามเป็นจริงว่า 

๑.  สังขารทั้งปวงเป็นของไม่เที่ยง
๒.  กามทั้งหลายเปรียบด้วยหลุมถ่านเพลิง
๓.  ยินดียิ่งในเนกขัมมะและวิเวก 
๔.  อบรมสติปัฏฐานดีแล้ว
๕.  อบรมอินทรีย์ ๕ ดีแล้ว 
๖.  อบรมโพชฌงค์ ๗ ดีแล้ว
๗. อบรมอริยมรรคมีองค์ ๘ ดีแล้ว

 

ธรรมแปด

ธรรม ๘ อย่างที่มีอุปการะมาก ได้แก่เหตุปัจจัย ๘ เพื่อความได้ปัญญาที่ยังไม่ได้ เพื่อความมียิ่งๆ ขึ้นไป เพื่อความไพบูลย์ เพื่อความเจริญ เพื่อความบริบูรณ์ แห่งปัญญาที่ได้แล้ว คือ

๑.  การอาศัยครู หรือสพรหมมจรรย์ผู้ตั้งอยู่ในฐานะครูรูปใดรูปหนึ่ง เข้าไปตั้งไว้ซึ่งหิริโอตตัปปะ ความรักและความเคารพอย่างแรงกล้าในท่านนั้น
๒.  เข้าไปหาท่านเสมอๆ สอบถามไต่ถามธรรมกับท่าน
๓.  ยังความหลีกออกแห่งกาย และ ความหลีกออกแห่งจิต
๔.  เป็นผู้มีศีล สำรวมในปาติโมกข์ ถึงพร้อมด้วยมรรยาทและโคจรเห็นภัยในโทษแม้มีประมาณน้อย สมาทานศึกษาอยู่ในสิกขาบททั้งหลาย
๕.  มีสุตะมาก ซึ่ง ธรรมทั้งหลายอันงามในเบื้องต้น งามในท่ามกลาง งามในที่สุด บริสุทธิ์ บริบูรณ์
๖.  ปรารภความเพียร เพื่อละอกุศลธรรม เพื่อความถึงพร้อมแห่งกุศลธรรม
๗.  มีสติ ประกอบด้วยสติและปัญญาเครื่องรักษาตนอันยอดเยี่ยม
๘.  พิจารณาเห็นความเกิดความดับในอุปาทานขันธ์ ๕

ธรรม ๘ อย่างที่ควรให้เจริญ ได้แก่อริยมรรค ๘ คือ ความเห็นชอบ ความดำริชอบ เจรจาชอบ การงานชอบเลี้ยงชีพชอบ พยายามชอบ ระลึกชอบ ใจตั้งมั่นชอบ

ธรรม ๘ อย่างที่ควรกำหนดรู้ ได้แก่โลกธรรม ๘ คือความได้ลาภ  ๑ ความเสื่อมลาภ ๑ ความได้ยศ ๑ ความเสื่อมยศ ๑ นินทา ๑สรรเสริญ ๑ สุข ๑ ทุกข์ ๑

ธรรม ๘ อย่างที่ควรละ ได้แก่มิจฉัตตะ ๘ คือ ความเห็นผิด ความดำริผิด เจรจาผิด การงานผิด เลี้ยงชีพผิด พยายามผิด ระลึกผิด ตั้งใจผิด

ธรรม ๘ อย่างที่เป็นไปในส่วนข้างเสื่อม ได้แก่เหตุเป็นที่ตั้งแห่งความเกียจคร้านไม่ปรารภความเพียร ๘ คือ 

๑.  นอนเพราะจะทำการงาน
๒.  นอนเพราะทำการงานเสร็จ
๓.  นอนเพราะจะต้องเดินทาง 
๔.  นอนเพราะเพิ่งเดินทางถึง
๕.  นอนเพราะไม่ได้อาหาร 
๖.  นอนเพราะกินอาหารอิ่ม
๗.  นอนเพราะป่วย
๘.  นอนเพราะหายป่วย

ธรรม ๘ อย่างที่เป็นไปในส่วนข้างเจริญ ได้แก่เหตุเป็นที่ตั้งแห่งการปรารภความเพียร ๘ คือ 

๑.  ปรารภความเพียรเพราะจะทำการงาน
๒.  ปรารภความเพียรเพราะทำการงานเสร็จ
๓.  ปรารภความเพียรเพราะจะต้องเดินทาง 
๔.  ปรารภความเพียรเพราะเพิ่งเดินทางถึง
๕.  ปรารภความเพียรเพราะไม่ได้อาหาร 
๖.  ปรารภความเพียรเพราะกินอาหารอิ่ม
๗.  ปรารภความเพียรเพราะป่วย
๘.  ปรารภความเพียรเพราะหายป่วย

ธรรม ๘ อย่างที่แทงตลอดได้ยาก ได้แก่กาลที่มิใช่ขณะมิใช่สมัยเพื่ออยู่ประพฤติพรหมจรรย์ เมื่อพระตถาคตอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าเสด็จอุบัติในโลกนี้ และพระองค์ทรงแสดงธรรมเป็นไปเพื่อความสงบ เป็นไปเพื่อความดับ ยังสัตว์ให้ถึงความตรัสรู้ แต่บางบุคคลนี้ 

๑.  เข้าถึงนรกเสีย
๒.  เข้าถึงกำเนิดสัตว์ดิรัจฉานเสีย
๓.  เข้าถึงเปตวิสัยเสีย
๔.  เข้าถึงเทพนิกายซึ่งมีอายุยืนอย่างใดอย่างหนึ่งเสีย
๕.  เกิดในปัจจันตชนบท ผู้ไม่รู้ความ
๖.  เกิดในมัชฌิมชนบท แต่เป็นมิจฉาทิฐิ
๗.  เกิดในมัชฌิมชนบท แต่เป็นคนมีปัญญาทรามโง่เขลา เป็นใบ้ 
๘.  พระสัมมาสัมพุทธเจ้ายังไม่เสด็จอุบัติในโลก

ธรรม ๘ อย่าง ที่ควรให้เกิดขึ้น ได้แก่ มหาปุริสวิตก ๘ คือ 

๑.  ธรรมนี้ของผู้มีความปรารถนาน้อย
๒.  ธรรมนี้ของผู้สันโดษ 
๓.  ธรรมนี้ของผู้สงัด
๔.  ธรรมนี้ของผู้ปรารภความเพียร
๕.  ธรรมนี้ของผู้เข้าไปตั้งสติไว้
๖.  ธรรมนี้ของผู้มีจิตตั้งมั่น
๗.  ธรรมนี้ของผู้มีปัญญา
๘.  ธรรมนี้ของผู้ไม่มีธรรมเป็นเครื่องหน่วงให้เนิ่นช้าเป็นที่มายินดี

ธรรม ๘ อย่างที่ควรรู้ยิ่ง ได้แก่อภิภายตนะ ๘

ธรรม ๘ อย่างที่ควรทำให้แจ้ง ได้แก่วิโมกข์ ๘

 

ธรรมเก้า

ธรรม ๙ อย่างที่มีอุปการะมาก ได้แก่ธรรมอันมีมูลมาแต่โยนิโสมนสิการ ๙ คือ

เมื่อกระทำไว้ในใจโดยแยบคายปราโมทย์ย่อมเกิด ๑
ปีติย่อมเกิดแก่ผู้ปราโมทย์ ๑
กายของผู้มีใจกอปรด้วยปิติย่อมสงบ ๑
ผู้มีกายสงบย่อมเสวยสุข ๑
จิตของผู้มีสุขย่อมตั้งมั่น ๑
ผู้มีจิตตั้งมั่นย่อมรู้เห็นตามเป็นจริง ๑
ผู้รู้เห็นตามเป็นจริงย่อมหน่าย ๑
เมื่อหน่ายย่อมคลายกำหนัด ๑
เพราะคลายกำหนัดย่อมหลุดพ้น ๑

ธรรม ๙ อย่างที่ควรให้เจริญ ได้แก่องค์เป็นที่ตั้งแห่งความเพียรเพื่อความบริสุทธิ์ ๙ คือ 

๑.  ความหมดจดแห่งศีล
๒.  ความหมดจดแห่งจิต
๓.  ความหมดจดแห่งทิฐิ
๔.  ความหมดจดแห่งญาณเครื่องข้ามพ้นความสงสัย
๕.  ความหมดจดแห่งญาณเห็นว่าใช่ทางหรือมิใช่ทาง
๖.  ความหมดจดแห่งญาณเห็นทางปฏิบัติที่สมควรแก่ธรรม
๗.  ความหมดจดแห่งญาณทัสนะ
๘.  ความหมดจดแห่งปัญญา
๙.  ความหมดจดแห่งวิมุตติ

ธรรม ๙ อย่างที่ควรกำหนดรู้ ได้แก่สัตตาวาส ๙

ธรรม ๙ อย่างที่ควรละ ได้แก่ธรรมอันมีมูลมาแต่ตัณหา ๙ คือ

๑. ความแสวงหาเพราะอาศัยตัณหา
๒. ความได้เพราะอาศัยความแสวงหา
๓. ความตกลงใจย่อมเพราะอาศัยการได้
๔. ความกำหนัดพอใจ เพราะอาศัยความตกลงใจ
๕. ความกล้ำกลืนเพราะอาศัยความกำหนัด
๖. ความหวงแหนเพราะอาศัยความกล้ำกลืน
๗. ความตระหนี่เพราะอาศัยความหวงแหน
๘. การตามรักษาย่อมเพราะอาศัยความตระหนี่
๙. อกุศลธรรมอันลามก คือ ถือศัสตรา ความทะเลาะแก่งแย่งวิวาทกัน กล่าวส่อเสียด และการพูดเท็จ เพราะอาศัยความรักษา

ธรรม ๙ อย่างที่เป็นไปในส่วนข้างเสื่อม ได้แก่เหตุเป็นที่ตั้งแห่งความอาฆาต ๙

ธรรม ๙ อย่างที่เป็นไปในส่วนข้างเจริญ ได้แก่ความกำจัดความอาฆาต ๙

ธรรม ๙ อย่างที่แทงตลอดได้ยาก ได้แก่ความต่าง ๙ คือ

๑.  ความต่างแห่งธาตุ
๒.  ความต่างแห่งผัสสะย่อมบังเกิดเพราะอาศัยความต่างแห่งธาตุ
๓.  ความต่างแห่งเวทนาย่อมบังเกิดเพราะอาศัยความต่างแห่งผัสสะ
๔.  ความต่างแห่งสัญญาย่อมบังเกิดเพราะอาศัยความต่างแห่งเวทนา
๕.  ความต่างแห่งความดำริย่อมบังเกิดเพราะอาศัยความต่างแห่งสัญญา
๖.  ความต่างแห่งความพอใจย่อมบังเกิดเพราะอาศัยความต่างแห่งความดำริ
๗.  ความต่างแห่งความเร่าร้อนย่อมบังเกิดเพราะอาศัยความต่างแห่งความพอใจ
๘.  ความต่างแห่งความแสวงหา ย่อมบังเกิดเพราะอาศัยความต่างแห่งความเร่าร้อน
๙.  ความต่างแห่งความได้ ย่อมบังเกิดเพราะอาศัยความต่างแห่งความแสวงหา

ธรรม ๙ อย่างที่ควรให้บังเกิดขึ้น ได้แก่สัญญา ๙ คือ  

ความกำหนดหมายว่าสังขารไม่งาม ๑
ความกำหนดหมายในความตาย ๑
ความกำหนดหมายในอาหารว่าเป็นของปฏิกูล ๑
ความกำหนดหมายความไม่น่ายินดีในโลกทั้งปวง ๑
ความกำหนดหมายว่าไม่เที่ยง ๑
ความกำหนดหมายในสิ่งไม่เที่ยงว่าเป็นทุกข์ ๑
ความกำหนดหมายในทุกข์ว่าไม่ใช่ตัวตน ๑
ความกำหนดหมายในการละ ๑
ความกำหนดหมายในวิราคธรรม ๑

ธรรม ๙ อย่างที่ควรรู้ยิ่ง ได้แก่อนุบุพพวิหาร ๙ คือ 

๑. ปฐมฌาน
๒. ทุติยฌาน 
๓. ตติยฌาน 
๔. จตุตถฌาน
๕. อากาสานัญจายตนฌาน
๖. วิญญาณัญจายตนฌาน
๗. อากิญจัญญายตนฌาน
๘. เนวสัญญานาสัญญายตนฌาน 
๙. สัญญาเวทยิตนิโรธ

ธรรม ๙ อย่างที่ควรทำให้แจ้ง ได้แก่อนุบุพพนิโรธ ๙  คือ 

๑. เมื่อเข้าปฐมฌานกามสัญญาดับ
๒. เมื่อเข้าทุติยฌานวิตกวิจารดับ
๓. เมื่อเข้าตติยฌาน ปีติดับ
๔. เมื่อเข้าจตุตถฌาน ลมอัสสาสปัสสาสะดับ
๕. เมื่อเข้าอากาสานัญจายตนฌานรูปสัญญาดับ
๖. เมื่อเข้าวิญญาณัญจายตนฌานอากาสานัญจายตนสัญญาดับ
๗. เมื่อเข้าอากิญจัญญายตนฌาน วิญญาณัญจายตนสัญญาดับ
๘. เมื่อเข้าเนวสัญญานาสัญญายตนฌาน อากิญจัญญายตนะดับ
๙. เมื่อเข้าสัญญาเวทยิตนิโรธ สัญญาและเวทนาดับ

 

ธรรมสิบ

ธรรม ๑๐ อย่างที่มีอุปการะมาก ได้แก่ธรรมอันเป็นที่พึ่งที่พึ่ง ๑๐ คือ

๑.  มีศีลสำรวมระวังในพระปาติโมกข์ ถึงพร้อมด้วยมรรยาทและโคจรอยู่ มีปรกติเห็นภัยในโทษเพียงเล็กน้อย
๒.  มีธรรมที่งามในเบื้องต้น งามในท่ามกลาง งามในที่สุด อันสดับแล้ว ทรงธรรมที่ได้สดับแล้ว
๓.  มีมิตรดี มีสหายดี มีเพื่อนดี 
๔.  เป็นผู้ว่าง่าย อดทน
๕.  ขยันไม่เกียจคร้าน ประกอบด้วยปัญญาในกรณียะนั้นๆ
๖.  เป็นผู้ใคร่ในธรรม มีความปราโมทย์ยิ่งในอภิธรรม ในอภิวินัย
๗.  เป็นผู้สันโดษด้วยปัจจัยสี่
๘.  ปรารภความเพียร เพื่อละอกุศลธรรม และยังกุศลธรรมให้ถึงพร้อม
๑๐. มีสติ ประกอบด้วยสติและปัญญาเครื่องรักษาตนอย่างยอดเยี่ยม

ธรรม ๑๐ อย่างที่ควรให้เจริญ ได้แก่แดนแห่งกสิณ ๑๐

ธรรม ๑๐ อย่างที่ควรกำหนดรู้ ได้แก่อายตนะ ๑๐ คือ  นัยน์ตา-รูป หู-เสียง จมูก-กลิ่น ลิ้น-รส กาย-โผฏฐัพพะ

ธรรม ๑๐ อย่างที่ควรละ ได้แก่ ความเห็นผิด ความดำริผิด เจรจาผิด การงานผิด เลี้ยงชีพผิด พยายามผิด ระลึกผิด  ตั้งใจผิด ความรู้ผิด ความหลุดพ้นที่ผิด

ธรรม ๑๐ อย่างที่เป็นไปในส่วนข้างเสื่อม ได้แก่อกุศลกรรมบถ ๑๐ คือ ฆ่าสัตว์ ลักทรัพย์ ประพฤติผิดในกาม พูดเท็จ พูดส่อเสียด พูดคำหยาบ พูดเพ้อเจ้อ อยากได้ของเขา ปองร้ายเขา เห็นผิดธรรม

ธรรม ๑๐ อย่างที่เป็นไปในส่วนข้างเจริญ ได้แก่กุศลกรรมบถ ๑๐ คือ เว้นจากฆ่าสัตว์ เว้นจากลักทรัพย์ เว้นจากประพฤติผิดในกาม เว้นจากพูดเท็จ เว้นจากพูดส่อเสียด เว้นจากพูดคำหยาบ เว้นจากพูดเพ้อเจ้อ ไม่อยากได้ของเขา ไม่ปองร้ายเขา เห็นชอบ

ธรรม ๑๐ อย่างที่แทงตลอดได้ยาก ได้แก่อริยวาส ๑๐ คือ

๑.  ละองค์ ๕ คือ กามฉันทะ พยาบาท ถีนมิทธะ อุทธัจจกุกกุจจะ ความสงสัยลังเล ได้แล้ว
๒.  ประกอบด้วยองค์ ๖ คือ ไม่ยินดียินร้าย เป็นผู้วางเฉย มีสติสัมปชัญญะอยู่ ในการรับรู้ผัสสะทางอายตนะทั้ง ๖
๓.  มีธรรมอย่างเดียวเป็นเครื่องรักษา คือ สติ
๔.  มีธรรมเป็นพนักพิง ๔ ด้าน คือ พิจารณาแล้วเสพ พิจารณาแล้วอดกลั้น พิจารณาแล้วเว้น และพิจารณาแล้วบรรเทา
๕.  มีสัจจะเฉพา ะอันบรรเทาแล้วจากการยึดถือความเป็นจริงเพียงบางส่วนของสมณพราหมณ์เป็นอันมาก
๖.  มีความแสวงหาทุกอย่างอันสละแล้วโดยชอบ คือ ละการแสวงหากาม ละการแสวงหาภพ ละการแสวงหาพรหมจรรย์
๗.  มีความดำริไม่ขุ่นมัว คือ ละความดำริในกาม ความดำริในความพยาบาท ความดำริในความเบียดเบียน
๘.  มีกายสังขารอันระงับแล้ว คือ บรรลุจตุตถฌาน ไม่มีทุกข์ ไม่มีสุข และดับโสมนัสโทมนัสก่อน ๆ ได้ มีอุเบกขาและสติบริสุทธิ์อยู่
9.  มีจิตหลุดพ้นดีแล้ว คือ พ้นแล้วจากราคะ โทสะ โมหะ
๑๐. มีปัญญาหลุดพ้นดีแล้ว ย่อมรู้ชัดว่า ราคะ โทสะ โมหะ มีรากอันเราถอนขึ้นแล้วมีอันไม่เกิดขึ้นต่อไปเป็นธรรมดา

ธรรม ๑๐ อย่างที่ควรให้บังเกิดขึ้น  ได้แก่สัญญา ๑๐ คือ

๑. ความกำหนดหมายว่าไม่งาม 
๒. ความกำหนดหมายในความตาย 
๓. ความกำหนดหมายในอาหารว่าเป็นของปฏิกูล 
๔. ความกำหนดหมายความไม่น่ายินดีในโลกทั้งปวง 
๕. ความกำหนดหมายว่าไม่เที่ยง 
๖. ความกำหนดหมายในสิ่งไม่เที่ยงว่าเป็นทุกข์ 
๗. ความกำหนดหมายในทุกข์ว่าไม่ใช่ตัวตน 
๘. ความกำหนดหมายในการละ  
๙. ความกำหนดหมายในวิราคธรรม
๑๐. ความกำหนดหมายในความดับ

ธรรม ๑๐ อย่างที่ควรรู้ยิ่ง ได้แก่นิชชิณวัตถุ ๑๐ คือ 

ความเห็นผิดอันบุคคลผู้เห็นชอบย่อมละได้ ๑
ความดำริผิดอันบุคคลผู้ดำริชอบย่อมละได้ ๑
การเจรจาผิดอันบุคคลผู้เจรจาชอบย่อมละได้ ๑
การงานผิดอันบุคคลผู้ทำการงานชอบย่อมละได้ ๑
การเลี้ยงชีพผิดอันบุคคลผู้เลี้ยงชีพชอบย่อมละได้ ๑
ความพยายามผิดอันบุคคลผู้พยายามชอบย่อมละได้ ๑
ความระลึกผิดอันบุคคลผู้ระลึกชอบย่อมละได้ ๑
ความมีใจตั้งไว้ผิดอันบุคคลผู้ตั้งใจชอบย่อมละได้ ๑
ความรู้ผิดอันบุคคลผู้รู้ชอบย่อมละได้ ๑
ความหลุดพ้นผิดอันบุคคลผู้พ้นชอบย่อมละได้ ๑

อนึ่ง อกุศลธรรมอันลามกมิใช่น้อยที่บังเกิดเพราะปฏิปทาผิดเป็นปัจจัยเขาก็ละได้ ส่วนกุศลธรรมมิใช่น้อยย่อมเจริญบริบูรณ์ เพราะความปฏิปทาชอบเป็นปัจจัย

ธรรม ๑๐ อย่างที่ควรทำให้แจ้ง คือ ความเห็นชอบ ความดำริชอบ การเจรจาชอบ  การงานชอบ การเลี้ยงชีพชอบ ความพยายามชอบ การระลึกชอบ ความมีใจตั้งมั่นชอบ  ความรู้ชอบ ความหลุดพ้นชอบ อันเป็นของพระอเสขะ 



อ้างอิง : ทสุตตรสูตร พระไตรปิฎก ฉบับหลวง ๑๑/๓๖๔-๔๗๓/๒๕๑-๒๘๘

ดาวน์โหลด e-book ยอดธรรมเพื่อการหลุดพ้น