อาฆาตวัตถุ ๙ คือ
ผูกอาฆาตด้วยคิดว่า
๑. ผู้นี้ได้ประพฤติสิ่งที่ไม่เป็นประโยชน์แก่เรา
๒. ผู้นี้ประพฤติอยู่ซึ่งสิ่งที่ไม่เป็นประโยชน์แก่เรา
๓. ผู้นี้จักประพฤติสิ่งที่ไม่เป็นประโยชน์แก่เรา
๔. ผู้นี้ได้ประพฤติสิ่งที่ไม่เป็นประโยชน์แก่บุคคลผู้เป็นที่รักของเราแล้ว
๕. ผู้นี้ประพฤติอยู่ซึ่งสิ่งที่ไม่เป็นประโยชน์แก่บุคคลผู้เป็นที่รักของเรา
๖. ผู้นี้จักประพฤติสิ่งที่ไม่เป็นประโยชน์แก่บุคคลผู้เป็นที่รักของเรา
๗. ผู้นี้ได้ประพฤติสิ่งที่เป็นประโยชน์แก่บุคคลผู้ไม่เป็นที่รักของเราแล้ว
๘. ผู้นี้ประพฤติอยู่ซึ่งสิ่งที่เป็นประโยชน์แก่บุคคลผู้ไม่เป็นที่รักของเรา
๙. ผู้นี้จักประพฤติสิ่งที่เป็นประโยชน์แก่บุคคลผู้ไม่เป็นที่รักของเรา
อาฆาตปฏิวินัย ๙ คือ
บรรเทาความอาฆาตเสีย ด้วยคิดว่า
๑. เขาได้ประพฤติสิ่งที่ไม่เป็นประโยชน์แก่เราแล้ว
๒. เขาประพฤติอยู่ซึ่งสิ่งที่ไม่เป็นประโยชน์แก่เรา
๓. เขาจักประพฤติสิ่งที่ไม่เป็นประโยชน์แก่เรา
๔. เขาได้ประพฤติสิ่งที่ไม่เป็นประโยชน์แก่บุคคลผู้เป็นที่รักของเราแล้ว
๕. เขาประพฤติอยู่ซึ่งสิ่งที่ไม่เป็นประโยชน์แก่บุคคลผู้เป็นที่รักของเรา
๖. เขาจักประพฤติสิ่งที่ไม่เป็นประโยชน์แก่บุคคลผู้เป็นที่รักของเรา
๗. เขาได้ประพฤติสิ่งที่เป็นประโยชน์แก่บุคคลผู้ไม่เป็นที่รักของเราแล้ว
๘. เขาประพฤติอยู่ซึ่งสิ่งที่เป็นประโยชน์แก่บุคคลผู้ไม่เป็นที่รักของเรา
๙. เขาจักประพฤติสิ่งที่เป็นประโยชน์แก่บุคคลผู้ไม่เป็นที่รักของเรา
เพราะเหตุนั้น การที่จะไม่ให้มีการประพฤติเช่นนั้น จะหาได้ในบุคคลนั้นแต่ที่ไหน
สัตตาวาส ๙ คือ
๑. มีสัตว์พวกหนึ่ง มีกายต่างกัน มีสัญญาต่างกัน เช่น พวกมนุษย์ เทวดาบางพวก วินิปาติกะบางพวก
๒. มีสัตว์พวกหนึ่ง มีกายต่างกัน มีสัญญาเดียวกัน เช่น พวกเทพผู้นับเนื่องในพวกพรหม ซึ่งเกิดในภูมิปฐมฌาน
๓. มีสัตว์พวกหนึ่ง มีกายเดียวกัน มีสัญญาต่างกัน เช่น พวกเทพเหล่าอาภัสสระ
๔. มีสัตว์พวกหนึ่ง มีกายเดียวกัน มีสัญญาเดียวกัน เช่น พวกเทพเหล่าสุภกิณหา
๕. มีสัตว์พวกหนึ่ง ไม่มีสัญญา ไม่รู้สึกเสวยอารมณ์ เช่น พวกเทพเหล่าอสัญญีสัตว์
๖. มีสัตว์พวกหนึ่งเพราะล่วงเสียซึ่งรูปสัญญาโดยประการทั้งปวง เพราะปฏิฆสัญญาดับไป เพราะไม่ใส่ใจซึ่งนานัตตสัญญา เข้าถึง อากาสานัญจายตนะ ด้วยมนสิการว่า อากาศที่สุดมิได้
๗. มีสัตว์พวกหนึ่งเพราะล่วงซึ่งอากาสานัญจายตนะโดยประการทั้งปวง แล้วเข้าถึง วิญญาณัญจายตนะ ด้วยมนสิการว่า วิญญาณหาที่สุดมิได้
๘. มีสัตว์พวกหนึ่งเพราะล่วงเสียซึ่งวิญญานัญจายตนะโดยประการทั้งปวง แล้วเข้าถึง อากิญจัญญายตนะ ด้วยมนสิการว่า ไม่มีอะไร
๙. มีสัตว์พวกหนึ่งล่วงเสียซึ่งอากิญจัญญายตนะโดยประการทั้งปวง แล้วเข้าถึง เนวสัญญานาสัญญายตนะ ด้วยมนสิการว่า นี่สงบ นี่ประณีต
อขณะ อสมัย เพื่อพรหมจริยวาส ๙ คือ
พระตถาคตอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าเสด็จอุบัติในโลกนี้ และธรรมที่พระองค์ทรงแสดง เป็นไปเพื่อความสงบระงับ เป็นไปเพื่อความดับ ให้ถึงความตรัสรู้ แต่บุคคลบางพวกไม่อยู่ในขณะ มิใช่สมัยเพื่อการประพฤติพรหมจรรย์
๑. บุคคลที่เข้าถึงนรกเสีย
๒. บุคคลที่เข้าถึงกำเนิดสัตว์ดิรัจฉานเสีย
๓. บุคคลที่เข้าถึงวิสัยแห่งเปรตเสีย
๔. บุคคลที่เข้าถึงอสุรกายเสีย
๕. บุคคลที่เข้าถึงพวกเทพที่มีอายุยืนพวกใดพวกหนึ่งเสีย
๖. บุคคลที่เกิดเสียในปัจจันตชนบท ในจำพวกชนชาติมิลักขะผู้โง่เขลา
๗. บุคคลที่เกิดในมัชฌิมชนบท แต่เป็นคนมิจฉาทิฐิ มีความเห็นวิปริตว่า ทานที่บุคคลให้ไม่มีผล การบูชาไม่มีผล ผลวิบากของกรรมที่บุคคลทำดีหรือทำชั่ว ไม่มี โลกนี้ไม่มี โลกหน้าไม่มี มารดาไม่มี บิดาไม่มี โอปปาติกะสัตว์ไม่มีในโลก ไม่มีสมณพราหมณ์ผู้ดำเนินไปดี ปฏิบัติชอบ แล้วกระทำให้แจ้งซึ่งโลกนี้ และโลกหน้าด้วยปัญญาอันยิ่งด้วยตนเอง แล้วยังผู้อื่นให้รู้
๘. บุคคลที่เป็นคนโง่เซอะซะ เป็นคนใบ้ ไม่สามารถที่จะรู้อรรถแห่งสุภาษิตและทุพภาษิตได้
๙. บุคคลที่มีปัญญา สามารถที่จะรู้อรรถแห่งสุภาษิตและทุพภาษิตได้ แต่มิได้มีผู้แสดงธรรมไว้
อนุปุพพวิหาร ๙ คือ
ภิกษุในพระธรรมวินัยนี้
๑. สงัดจากกาม สงัดจากอกุศลธรรม บรรลุ ปฐมฌาน มีวิตก มีวิจาร มีปีติและสุขเกิดแต่วิเวกอยู่
๒. บรรลุ ทุติยฌาน มีความผ่องใสแห่งจิตใจในภายใน เป็นธรรมเอกผุดขึ้น เพราะวิตก วิจารสงบระงับ ไม่มีวิตก ไม่มีวิจาร มีปีติและสุขเกิดแต่สมาธิอยู่
๓. มีอุเบกขามีสติ มีสัมปชัญญะ เสวยสุขด้วยนามกาย เพราะปีติสิ้นไป บรรลุ ตติยฌาน ที่พระอริยะทั้งหลายสรรเสริญว่า ผู้ได้ฌานนี้เป็นผู้มีอุเบกขามีสติอยู่เป็นสุขดังนี้
๔. บรรลุ จตุตถฌาน ไม่มีทุกข์ไม่มีสุข เพราะละสุขละทุกข์ และดับโสมนัส โทมนัสก่อน ๆ ได้ มีอุเบกขาเป็นเหตุให้สติบริสุทธิ์อยู่
๕. เพราะล่วงเสียซึ่งรูปสัญญาโดยประการทั้งปวง เพราะปฏิฆสัญญาดับไป เพราะไม่ใส่ใจซึ่งนานัตตสัญญา เข้าถึง อากาสานัญจายตนะ ด้วยมนสิการว่า อากาศหาที่สุดมิได้ ดังนี้อยู่
๖. เพราะล่วงเสียซึ่งอากาสานัญจายตนะโดยประการทั้งปวง แล้วเข้าถึง วิญญาณัญจายตนะ ด้วยมนสิการว่า วิญญาณหาที่สุดมิได้ ดังนี้อยู่
๗. เพราะล่วงเสียซึ่งวิญญาณัญจายตนะโดยประการทั้งปวง แล้วเข้าถึง อากิญจัญญายตนะ ด้วยมนสิการว่า ไม่มีอะไร ดังนี้อยู่
๘. เพราะล่วงซึ่งอากิญจัญญายตนะโดยประการทั้งปวง แล้วเข้าถึง เนวสัญญานาสัญญายตนะ อยู่
๙. เพราะล่วงเสียซึ่งเนวสัญญานาสัญญายตนะโดยประการทั้งปวง แล้วเข้าถึง สัญญาเวทยิตนิโรธ อยู่
อนุปุพพนิโรธ ๙ คือ
๑. กามสัญญา ของท่านผู้เข้าปฐมฌานย่อมดับไป
๒. วิตกวิจาร ของท่านผู้เข้าทุติยฌานย่อมดับไป
๓. ปีติิ ของท่านผู้เข้าตติยฌานย่อมดับไป
๔. ลมอัสสาสะและปัสสาสะ ของท่านผู้เข้าจตุตถฌานย่อมดับไป
๕. รูปสัญญา ของท่านผู้เข้าอากาสานัญจายตนะสมาบัติย่อมดับไป
๖. อากาสานัญจายตนสัญญา ของท่านผู้เข้าวิญญาณัญจายตนสมาบัติ ย่อมดับไป
๗. วิญญาณัญจายตนสัญญา ของท่านผู้เข้าอากิญจัญญายตนสมาบัติ ย่อมดับไป
๘. อากิญจัญญายตนสัญญา ของท่านผู้เข้าเนวสัญญานาสัญญายตนสมาบัติ ย่อมดับไป
๙. สัญญาและเวทนา ของท่านผู้เข้าสัญญาเวทยิตนิโรธย่อมดับไป