พุทธวิธีละสังโยชน์ละเอียด (การละรูปฌานและอรูปฌาน) | ลฑุกิโกปมสูตร
พุทธวิธีปฏิบัติธรรม
พุทธวิธีละสังโยชน์ละเอียด
(การละรูปฌานและอรูปฌาน)
ลฑุกิโกปมสูตร
พระไตรปิฎก ฉบับหลวง
เล่มที่ ๑๓ ข้อ ๑๘๒-๑๘๕
ข้อแนะนำในการปฏิบัติ
ก่อนจะฟังพึงเข้าสมาธิสักครู่หนึ่ง
เมื่อได้สมาธิดีแล้ว ฟังพุทโธวาท
และน้อมธรรมมาสู่ใจ น้อมใจปฏิบัติตามพุทโธวาทตรง ๆ
ให้เข้าใจแจ้ง และได้สภาวะจิตดีจริง
เมื่อได้สภาวะดีใด ให้รักษาสภาวะนั้นออกมาสู่ชีวิตจริง
ความยาววีดีโอ: 13:14 นาที
เวลาปฏิบัติ: 25 นาที
--------
...พระผู้มีพระภาคตรัสกับพระอุทายีว่า
ดูกรอุทายี กามคุณห้าเหล่านี้ กามคุณห้าเป็นไฉน คือ
รูปอันพึงรู้แจ้งด้วยจักษุ...
เสียงอันพึงรู้แจ้งด้วยโสต...
กลิ่นอันพึงรู้แจ้งด้วยฆานะ...
รสอันพึงรู้แจ้งด้วยชิวหา...
โผฏฐัพพะอันพึงรู้แจ้งด้วยกาย...
ที่สัตว์ปรารถนารักใคร่ชอบใจ เป็นสิ่งที่น่ารัก ประกอบด้วยกามเป็นที่ตั้งแห่งความกำหนัด กามคุณ ๕ นี้แล
ความสุขโสมนัสที่เกิดเพราะอาศัยกามคุณ ๕ นี้ เรากล่าวว่ากามสุข ความสุขไม่สะอาด ความสุขของปุถุชน ไม่ใช่สุขของพระอริยะอันบุคคลไม่ควรเสพ ไม่ควรให้เกิดมี ไม่ควรทำให้มาก ควรกลัวแต่สุขนั้น
ดูกรอุทายี ภิกษุในธรรมวินัยนี้ สงัดจากกาม สงัดจากอกุศลธรรม บรรลุปฐมฌาน มีวิตก มีวิจาร มีปีติและสุขเกิดแต่วิเวกอยู่
บรรลุทุติยฌาน มีความผ่องใสแห่งจิตในภายใน เป็นธรรมเอกผุดขึ้น ไม่มีวิตก ไม่มีวิจาร เพราะวิตกวิจารสงบไป มีปีติและสุขเกิดแต่สมาธิอยู่
ภิกษุในธรรมวินัยนี้ มีอุเบกขา มีสติ มีสัมปชัญญะ เสวยสุขด้วยนามกาย เพราะปีติสิ้นไป บรรลุตติยฌานที่พระอริยะทั้งหลายสรรเสริญว่า ผู้ได้ฌานนี้ เป็นผู้มีอุเบกขา มีสติอยู่เป็นสุข
บรรลุจตุตถฌาน ไม่มีทุกข์ ไม่มีสุข เพราะละสุขละทุกข์และดับโสมนัสโทมนัสก่อน ๆ ได้มีอุเบกขาเป็นเหตุให้สติบริสุทธิ์อยู่
ฌานทั้งสี่นี้เรากล่าวว่า ความสุขเกิดแต่ความออกจากกาม ความสุขเกิดแต่ความสงัด ความสุขเกิดแต่ความสงบ ความสุขเกิดแต่ความสัมโพธิ อันบุคคลควรเสพ ควรให้เกิดมี ควรทำให้มาก ไม่ควรกลัวสุขนั้น
ดูกรอุทายี ปฐมฌานเรากล่าวว่ายังหวั่นไหวข้อที่วิตกและวิจารยังไม่ดับในปฐมฌานนี้ เป็นความหวั่นไหวในปฐมฌานนั้น
แม้ทุติยฌานนี้ เราก็กล่าวว่ายังหวั่นไหว ข้อที่ปีติและสุขยังไม่ดับในทุติยฌานนี้ เป็นความหวั่นไหวในทุติยฌานนั้น
แม้ตติยฌานนี้ เราก็กล่าวว่ายังหวั่นไหว ข้อที่อุเบกขาและสุขยังไม่ดับในตติยฌานนี้ เป็นความหวั่นไหวในตติยฌานนั้น
จตุตถฌานนี้ เรากล่าวว่าไม่หวั่นไหวดูกรอุทายี
ปฐมฌานนี้เรากล่าวว่า ไม่ควรทำความอาลัย เธอทั้งหลายจงละ จงก้าวล่วงเสีย
ก็อะไรเล่าเป็นธรรมเครื่องก้าวล่วงปฐมฌานนั้น
ภิกษุในธรรมวินัยนี้ บรรลุทุติยฌาน มีความผ่องใสแห่งจิตในภายใน เป็นธรรมเอกผุดขึ้น ไม่มีวิตก ไม่มีวิจาร เพราะวิตกวิจารสงบไป มีปีติและสุขเกิดแต่สมาธิอยู่ นี้เป็นธรรมเครื่องก้าวล่วงปฐมฌานนั้น
แม้ทุติยฌานนี้เราก็กล่าวว่า ไม่ควรทำความอาลัยเธอทั้งหลายจงละ จงก้าวล่วงเสีย
ก็อะไรเล่าเป็นธรรมเครื่องก้าวล่วงทุติยฌานนั้น
ภิกษุในธรรมวินัยนี้ มีอุเบกขา มีสติ มีสัมปชัญญะ เสวยสุข ด้วยนามกาย เพราะปีติสิ้นไป บรรลุตติยฌานที่พระอริยะทั้งหลายสรรเสริญว่า ผู้ได้ฌานนี้ เป็นผู้มีอุเบกขา มีสติ อยู่เป็นสุข นี้เป็นธรรมเครื่องก้าวล่วงทุติยฌานนั้น
แม้ตติยฌานนี้เราก็กล่าวว่า ไม่ควรทำความอาลัย เธอทั้งหลายจงละ จงก้าวล่วงเสีย
ก็อะไรเล่าเป็นธรรมเครื่องก้าวล่วงตติยฌานนั้น
ภิกษุในธรรมวินัยนี้ บรรลุจตุตถฌาน ไม่มีทุกข์ ไม่มีสุข เพราะละสุขละทุกข์ และดับโสมนัสโทมนัสก่อน ๆ ได้ มีอุเบกขาเป็นเหตุให้สติบริสุทธิ์อยู่ นี้เป็นธรรมเครื่องก้าวล่วงตติยฌานนั้น
แม้จตุตถฌานนี้เราก็กล่าวว่า ไม่ควรทำความอาลัย เธอทั้งหลายจงละ จงก้าวล่วงเสีย
ก็อะไรเล่าเป็นธรรมเครื่องก้าวล่วงจตุตถฌานนั้น
ภิกษุในธรรมวินัยนี้ บรรลุอากาสานัญจายตนฌานด้วยบริกรรมว่า อากาศไม่มีที่สุด เพราะล่วงรูปสัญญาได้โดยประการทั้งปวง เพราะดับปฏิฆสัญญาได้ เพราะไม่มนสิการนานัตตสัญญาอยู่ นี้เป็นธรรมเครื่องก้าวล่วงจตุตถฌาน
แม้อากาสานัญจายตนฌานนั้น เราก็กล่าวว่า ไม่ควรทำความอาลัย เธอทั้งหลายจงละเสีย จงก้าวล่วงเสีย
ก็อะไรเล่าเป็นธรรมเครื่องก้าวล่วงอากาสานัญจายตนฌาน
ภิกษุในธรรมวินัยนี้ บรรลุวิญญาณัญจายตนฌาน ด้วยบริกรรมว่าวิญญาณไม่มีที่สุด เพราะล่วงอากาสานัญจายตนฌานได้ โดยประการทั้งปวงอยู่ นี้เป็นธรรมเครื่องก้าวล่วงอากาสานัญจายตนฌานนั้น
แม้วิญญาณัญจายตนฌานนี้ เราก็กล่าวว่าไม่ควรทำความอาลัย เธอทั้งหลายจงละ จงก้าวล่วงเสีย
ก็อะไรเล่าเป็นธรรมเครื่องก้าวล่วงวิญญาณัญจายตนฌาน
ภิกษุในธรรมวินัยนี้ บรรลุอากิญจัญญายตนฌาน ด้วยบริกรรมว่า ไม่มีอะไร เพราะล่วงวิญญาณัญจายตนฌานได้โดยประการทั้งปวงอยู่ นี้เป็นธรรมเครื่องก้าวล่วงวิญญาณัญจายตนฌานนั้น
แม้อากิญจัญญายตนฌานนั้น เราก็กล่าวว่า ไม่ควรทำความอาลัย เธอทั้งหลายจงละ จงก้าวล่วงเสีย
ก็อะไรเล่าเป็นธรรมเครื่องก้าวล่วงอากิญจัญญายตนฌาน
ภิกษุในธรรมวินัยนี้ บรรลุเนวสัญญานาสัญญายตนฌาน เพราะล่วงอากิญจัญญายตนฌานได้โดยประการทั้งปวงอยู่ นี้เป็นธรรมเครื่องก้าวล่วงอากิญจัญญายตนฌาน
แม้เนวสัญญานาสัญญายตนฌานนี้เราก็กล่าวว่า ไม่ควรทำความอาลัย เธอทั้งหลายจงละ จงก้าวล่วงเสีย
ก็อะไรเล่าเป็นธรรมเครื่องก้าวล่วงเนวสัญญานาสัญญายตนฌาน
ที่ภิกษุในธรรมวินัยนี้ บรรลุสัญญาเวทยิตนิโรธ เพราะล่วงเนวสัญญานาสัญญายตนฌานได้โดยประการทั้งปวงอยู่ นี้เป็นธรรมเครื่องก้าวล่วงเนวสัญญานาสัญญายตนฌาน
เรากล่าวการละกระทั่งเนวสัญญานาสัญญายตนฌาน ด้วยประการฉะนี้แล
ดูกรอุทายี เธอเห็นหรือหนอซึ่งสังโยชน์ละเอียดก็ดี หยาบก็ดีนั้น ที่เรามิได้กล่าวถึงการละนั้น