Main navigation

วิธีภาวนา - (ดูทั้งหมด)

ผู้มีกำลังย่อมไม่กลัวภัย | พลสูตร

พุทธวิธีปฏิบัติธรรม
ผู้มีกำลังย่อมไม่กลัวภัย
พลสูตร
พระไตรปิฎก ฉบับหลวง
เล่มที่ ๒๓ ข้อที่ ๒๐๙

ข้อแนะนำในการปฏิบัติ
ก่อนจะฟัง
พึงเข้าสมาธิสักครู่หนึ่ง
เมื่อได้สมาธิดีแล้ว
ฟังพุทโธวาท และน้อมธรรมมาสู่ใจ
น้อมใจปฏิบัติตามพุทโธวาทตรง ๆ
ให้เข้าใจแจ้ง และได้สภาวะจิตดีจริง
เมื่อได้สภาวะดีใด ให้รักษาสภาวะนั้นออกมาสู่ชีวิตจริง

ความยาววีดีโอ: 11:05 นาที
เวลาปฏิบัติ: 18:00 นาที

----------

พระผู้มีพระภาคตรัสว่า

ดูกรภิกษุทั้งหลาย กำลัง ๔ ประการนี้ ๔ คือ
กำลัง คือ ปัญญา ๑
กำลัง คือ ความเพียร ๑
กำลัง คือ การงานอันไม่มีโทษ ๑
กำลัง คือ การสงเคราะห์ ๑
 
ก็กำลัง คือ ปัญญาเป็นไฉน

ธรรมเหล่าใดเป็นกุศล นับว่าเป็นกุศล
ธรรมเหล่าใดเป็นอกุศล นับว่าเป็นอกุศล

ธรรมเหล่าใดมีโทษ นับว่ามีโทษ
ธรรมเหล่าใดไม่มีโทษ นับว่าไม่มีโทษ

ธรรมเหล่าใดดำนับว่าดำ
ธรรมเหล่าใดขาว นับว่าขาว

ธรรมเหล่าใดไม่ควรเสพ นับว่าไม่ควรเสพ
ธรรมเหล่าใดควรเสพ นับว่าควรเสพ

ธรรมเหล่าใดไม่สามารถทำความเป็นพระอริยะ นับว่าไม่สามารถทำความเป็นอริยะ
ธรรมเหล่าใดสามารถทำความเป็นพระอริยะ นับว่าสามารถทำความเป็นพระอริยะ

ธรรมเหล่านั้นเป็นธรรมอันบุคคลเห็นแจ้ง ประพฤติได้ด้วยปัญญา นี้เรียกว่ากำลัง คือ ปัญญา

ก็กำลัง คือ ความเพียรเป็นไฉน

บุคคลยังฉันทะให้เกิด พยายามปรารภความเพียร ประคองจิต ตั้งจิตไว้ เพื่อละธรรมเหล่านั้น นี้เรียกว่ากำลัง คือ ความเพียร

ก็กำลัง คือ การงานอันไม่มีโทษเป็นไฉน

อริยสาวกในธรรมวินัยนี้ เป็นผู้ประกอบด้วยกายกรรม วจีกรรม มโนกรรม อันหาโทษมิได้ นี้เรียกว่ากำลัง คือ การงานอันไม่มีโทษ

ก็กำลัง คือ การสงเคราะห์เป็นไฉน

สังคหวัตถุ ๔ ประการนี้ คือ
ทาน ๑
เปยยวัชชะ ๑
อัตถจริยา ๑
สมานัตตตา ๑

ธรรมทานเลิศกว่าทานทั้งหลาย

การแสดงธรรมบ่อย ๆ แก่บุคคลผู้ต้องการ ผู้เงี่ยโสตลงสดับ นี้เลิศกว่าการพูดถ้อยคำอันเป็นที่รัก

การชักชวนคนผู้ไม่มีศรัทธาให้ตั้งมั่นดำรงอยู่ในศรัทธาสัมปทา
ชักชวนผู้ทุศีลให้ตั้งมั่นดำรงอยู่ในศีลสัมปทา
ชักชวนผู้ตระหนี่ให้ตั้งมั่นดำรงอยู่ในจาคสัมปทา
ชักชวนผู้มีปัญญาทรามให้ตั้งมั่นดำรงอยู่ในปัญญาสัมปทา
นี้เลิศกว่าการประพฤติประโยชน์ทั้งหลาย

พระโสดาบันมีตนเสมอกับพระโสดาบัน
พระสกทาคามีมีตนเสมอกับพระสกทาคามี
พระอนาคามีมีตนเสมอกับพระอนาคามี
พระอรหันต์มีตนเสมอกับพระอรหันต์
นี้เลิศกว่าความมีตนเสมอทั้งหลาย
นี้เรียกว่ากำลัง คือ การสงเคราะห์

อริยสาวกผู้ประกอบด้วยกำลัง ๔ ประการนี้ ย่อมก้าวล่วงภัย ๕ ประการ คือ

อาชีวิตภัย ๑
อสิโลกภัย ๑
ปริสสารัชภัย ๑
มรณภัย ๑
ทุคติภัย ๑

อริยสาวกนั้นพิจารณาเห็นดังนี้ว่า เราไม่กลัวต่อภัยอันเนื่องด้วยชีวิต ไฉนเราจักกลัวต่อภัยอันเนื่องด้วยชีวิตเล่า เรามีกำลัง ๔ ประการ คือ กำลังปัญญา กำลังความเพียรกำลังการงานอันไม่มีโทษ กำลังการสงเคราะห์

คนที่มีปัญญาทราม คนเกียจคร้าน คนที่มีการงานทางกาย ทางวาจาและทางใจที่มีโทษ คนที่ไม่สงเคราะห์ใคร จึงกลัวต่อภัยอันเนื่องด้วยชีวิต

เราไม่กลัวต่อภัย คือ การติเตียน ไฉนเราจักกลัวต่อภัย คือ การติเตียนเล่า เรามีกำลัง ๔ ประการ

คนที่มีปัญญาทราม คนเกียจคร้าน คนที่มีการงานทางกาย ทางวาจาและทางใจที่มีโทษ คนที่ไม่สงเคราะห์ใคร จึงกลัวต่อภัย คือ การติเตียน

เราไม่กลัวต่อภัยคือการสะทกสะท้านในบริษัท ไฉนเราจักกลัวต่อภัย คือ การสะทกสะท้านในบริษัท เรามีกำลัง ๔ ประการ

คนที่มีปัญญาทราม คนเกียจคร้าน คนที่มีการงานทางกาย ทางวาจาและทางใจที่มีโทษ คนที่ไม่สงเคราะห์ใคร จึงกลัวต่อภัยคือการสะทกสะท้านในบริษัท

เราไม่กลัวต่อภัยคือความตาย ไฉนเราจักกลัวต่อภัย คือ ความตาย เรามีกำลัง ๔ ประการ

คนที่มีปัญญาทราม คนเกียจคร้าน คนที่มีการงานทางกาย ทางวาจาและทางใจที่มีโทษ คนที่ไม่สงเคราะห์ใคร จึงกลัวต่อคือความตาย

เราไม่กลัวต่อภัยคือทุคติ ไฉนเราจักกลัวต่อภัย คือ ทุคติเล่า เพราะเรามีกำลัง ๔ ประการ

คนที่มีปัญญาทราม คนเกียจคร้าน คนที่มีการงานทางกาย ทางวาจาและทางใจที่มีโทษ คนที่ไม่สงเคราะห์ใคร จึงกลัวต่อคือทุคติ

อริยสาวกผู้ประกอบด้วยกำลัง ๔ ประการนี้ ย่อมก้าวล่วงภัย ๕ ประการนี้

 

พระสูตร
พลสูตร พระไตรปิฎก ฉบับหลวง เล่มที่ ๒๓ ข้อที่ ๒๐๙