สัมมาสมาธิของพระอริยะ | มหาจัตตารีสกสูตร
สัมมาสมาธิของพระอริยะ
มหาจัตตารีสกสูตร
พระไตรปิฎก ฉบับหลวง
เล่มที่ ๑๔ ข้อที่ ๒๕๒-๒๘๑
ข้อแนะนำในการปฏิบัติ
ก่อนจะฟัง
พึงเข้าสมาธิสักครู่หนึ่ง
เมื่อได้สมาธิดีแล้ว
ฟังพุทโธวาท และน้อมธรรมมาสู่ใจ
น้อมใจปฏิบัติตามพุทโธวาทตรง ๆ
ให้เข้าใจแจ้ง และได้สภาวะจิตดีจริง
เมื่อได้สภาวะดีใด ให้รักษาสภาวะนั้นออกมาสู่ชีวิตจริง
ความยาววีดีโอ: 34:15 นาที
เวลาปฏิบัติ: 45 นาที
----------
พระผู้มีพระภาคทรงแสดงสัมมาสมาธิของพระอริยะ อันมีเหตุบ้าง มีองค์ประกอบบ้าง คือ ความที่จิตมีอารมณ์เป็นหนึ่ง ประกอบแล้วด้วยองค์ ๗ คือ สัมมาทิฐิ สัมมาสังกัปปะ สัมมาวาจา สัมมากัมมันตะ สัมมาอาชีวะ สัมมาวายามะ สัมมาสติ
ในบรรดาองค์ทั้ง ๗ สัมมาทิฐิย่อมเป็นประธาน คือ
รู้จักมิจฉาทิฐิว่า มิจฉาทิฐิ
รู้จักสัมมาทิฐิว่า สัมมาทิฐิ
รู้จักมิจฉาสังกัปปะว่า มิจฉาสังกัปปะ
รู้จักสัมมาสังกัปปะว่า สัมมาสังกัปปะ
รู้จักมิจฉาวาจาว่า มิจฉาวาจา
รู้จักสัมมาวาจาว่า สัมมาวาจา
รู้จักมิจฉากัมมันตะว่า มิจฉากัมมันตะ
รู้จักสัมมากัมมันตะว่า สัมมากัมมันตะ
รู้จักมิจฉาอาชีวะว่า มิจฉาอาชีวะ
รู้จักสัมมาอาชีวะว่า สัมมาอาชีวะ
ความรู้นั้น เป็นสัมมาทิฐิ
ภิกษุเมื่อพยายามละมิจฉาทิฐิ เพื่อบรรลุสัมมาทิฐิ
ภิกษุเมื่อพยายามละมิจฉาสังกัปปะ เพื่อบรรลุสัมมาสังกัปปะ
ภิกษุเมื่อพยายามละมิจฉาวาจา เพื่อบรรลุสัมมาวาจา
ภิกษุเมื่อพยายามละมิจฉากัมมันตะ เพื่อบรรลุสัมมากัมมันตะ
ภิกษุเมื่อพยายามละมิจฉาอาชีวะ เพื่อบรรลุสัมมาอาชีวะ
ความพยายามนั้น เป็นสัมมาวายามะ
สติในการพยายามละมิจฉามรรค และสติเพื่อบรรลุสัมมามรรค เป็นสัมมาสติ
ธรรม ๓ ประการ คือ สัมมาทิฐิ สัมมาวายามะ สัมมาสติ ย่อมห้อมล้อม ไปตามสัมมามรรคของภิกษุนั้น
มรรคที่เป็นโลกิยะ คือ มรรคที่ยังเป็นสาสวะ เป็นส่วนแห่งบุญ ให้ผลแก่ขันธ์ ๑
มรรคที่เป็นโลกุตระ คือ มรรคของพระอริยะ ที่เป็นอนาสวะ เป็นโลกุตระ เป็นองค์มรรค ๑
บรรดาองค์ทั้ง ๗ นั้น สัมมาทิฐิย่อมเป็นประธาน คือ
เมื่อมีสัมมาทิฐิ สัมมาสังกัปปะจึงพอเหมาะได้
เมื่อมีสัมมาสังกัปปะ สัมมาวาจาจึงพอเหมาะได้
เมื่อมีสัมมาวาจา สัมมาอาชีวะจึงพอเหมาะได้
เมื่อมีสัมมาอาชีวะ สัมมาวายามะจึงพอเหมาะได้
เมื่อมีสัมมาวายามะ สัมมาสติจึงพอเหมาะได้
เมื่อมีสัมมาสติ สัมมาสมาธิจึงพอเหมาะได้
เมื่อมีสัมมาสมาธิ สัมมาญาณะจึงพอเหมาะได้
เมื่อมีสัมมาญาณะ สัมมาวิมุตติจึงพอเหมาะได้
ด้วยเหตุนี้ พระเสขะผู้ประกอบด้วยองค์ ๘ จึงเป็นพระอรหันต์ประกอบด้วยองค์ ๑๐
ธรรมบรรยายมหาจัตตารีสกะ อันเป็น ธรรมฝ่ายกุศล ๒๐ ฝ่ายอกุศล ๒๐
ผู้มีสัมมาทิฐิ ย่อมสลัดมิจฉาทิฐิได้ ละซึ่งอกุศลธรรมอันมีมิจฉาทิฐิเป็นปัจจัย กุศลธรรมย่อมเจริญเพราะสัมมาทิฐิเป็นปัจจัย
ผู้มีสัมมาสังกัปปะ ย่อมสลัดมิจฉาสังกัปปะได้ ละซึ่งอกุศลธรรมอันมีมิจฉาสังกัปปะเป็นปัจจัย กุศลธรรมย่อมเจริญเพราะสัมมาสังกัปปะเป็นปัจจัย
ผู้มีสัมมาวาจา ย่อมสลัดมิจฉาวาจาได้ ละซึ่งอกุศลธรรมอันมีมิจฉาวาจาเป็นปัจจัย กุศลธรรมย่อมเจริญเพราะสัมมาวาจาเป็นปัจจัย
ผู้มีสัมมากัมมันตะ ย่อมสลัดมิจฉากัมมันตะได้ ละซึ่งอกุศลธรรมอันมีมิจฉากัมมันตะเป็นปัจจัย กุศลธรรมย่อมเจริญเพราะสัมมากัมมันตะเป็นปัจจัย
ผู้มีสัมมาอาชีวะ ย่อมสลัดมิจฉาอาชีวะได้ ละซึ่งอกุศลธรรมอันมีมิจฉาอาชีวะเป็นปัจจัย กุศลธรรมย่อมเจริญเพราะสัมมาอาชีวะเป็นปัจจัย
ผู้มีสัมมาวายามะ ย่อมสลัดมิจฉาวายามะได้ ละซึ่งอกุศลธรรมอันมีมิจฉาวายามะเป็นปัจจัย กุศลธรรมย่อมเจริญเพราะสัมมาวายามะเป็นปัจจัย
ผู้มีสัมมาสติ ย่อมสลัดมิจฉาสติได้ ละซึ่งอกุศลธรรมอันมีมิจฉาสติเป็นปัจจัย กุศลธรรมย่อมเจริญเพราะสัมมาสติเป็นปัจจัย
ผู้มีสัมมาสมาธิ ย่อมสลัดมิจฉาสมาธิได้ ละซึ่งอกุศลธรรมอันมีมิจฉาสมาธิเป็นปัจจัย กุศลธรรมย่อมเจริญเพราะสัมมาสมาธิเป็นปัจจัย
ผู้มีสัมมาญาณะ ย่อมสลัดมิจฉาญาณะได้ ละซึ่งอกุศลธรรมอันมีมิจฉาญาณะเป็นปัจจัย กุศลธรรมย่อมเจริญเพราะสัมมาญาณะเป็นปัจจัย
ผู้มีสัมมาวิมุตติ ย่อมสลัดมิจฉาวิมุตติได้ ละซึ่งอกุศลธรรมอันมีมิจฉาวิมุตติเป็นปัจจัย กุศลธรรมย่อมเจริญเพราะสัมมาวิมุตติเป็นปัจจัย
ถ้าใครติเตียนสัมมาทิฐิ
ก็ต้องบูชาสรรเสริญผู้มีทิฐิผิด
ถ้าใครติเตียนสัมมาสังกัปปะ
ก็ต้องบูชาสรรเสริญผู้มีสังกัปปะผิด
ถ้าใครติเตียนสัมมาวาจา
ก็ต้องบูชาสรรเสริญผู้มีวาจาผิด
ถ้าใครติเตียนสัมมากัมมันตะ
ก็ต้องบูชาสรรเสริญผู้มีการงานผิด
ถ้าใครติเตียนสัมมาอาชีวะ
ก็ต้องบูชาสรรเสริญผู้มีอาชีวะผิด
ถ้าใครติเตียนสัมมาวายามะ
ก็ต้องบูชาสรรเสริญผู้มีความพยายามผิด
ถ้าใครติเตียนสัมมาสติ
ก็ต้องบูชาสรรเสริญผู้มีสติผิด
ถ้าใครติเตียนสัมมาสมาธิ
ก็ต้องบูชาสรรเสริญผู้มีสมาธิผิด
ถ้าใครติเตียนสัมมาญาณะ
ก็ต้องบูชาสรรเสริญผู้มีญาณผิด
ถ้าใครติเตียนสัมมาวิมุตติ
ก็ต้องบูชาสรรเสริญผู้มีวิมุตติผิด