ภัยของผู้ออกบวช | จาตุมสูตร
ภัยของผู้ออกบวช
จาตุมสูตร
พระไตรปิฎก ฉบับหลวง
เล่มที่ ๑๓ ข้อที่ ๑๙๐-๑๙๔
ความยาววีดิทัศน์ 11:00 นาที
--------
พระผู้มีพระภาคตรัสเรียกภิกษุทั้งหลายมาว่า
ดูกรภิกษุทั้งหลายภัย ๔ อย่างนี้ เมื่อบุคคลกำลังลงน้ำ พึงหวังได้ คือ
ภัยเพราะคลื่น
ภัยเพราะจระเข้
ภัยเพราะน้ำวน
ภัยเพราะปลาร้าย
ภัย ๔ อย่างนี้ เมื่อบุคคลกำลังลงน้ำ พึงหวังได้ ฉันใด ภัย ๔ อย่างนี้ก็ฉันนั้น เมื่อบุคคลออกบวชเป็นบรรพชิตในธรรมวินัยนี้ พึงหวังได้
ก็ภัยเพราะคลื่นเป็นไฉน
กุลบุตรบางคนมีศรัทธา ออกบวชเป็นบรรพชิต ด้วยคิดว่า เราเป็นผู้อันชาติ ชรา มรณะ โสกะปริเทวะ ทุกข์ โทมนัส อุปายาส ครอบงำแล้ว เป็นผู้อันทุกข์ครอบงำแล้ว เป็นผู้อันทุกข์ท่วมทับแล้ว ทำไฉน การทำที่สุดแห่งกองทุกข์ทั้งสิ้นนี้ จะพึงปรากฏได้
เพื่อนพรหมจรรย์ทั้งหลายย่อมตักเตือนสั่งสอนกุลบุตรผู้บวชแล้วอย่างนั้นว่า ท่านพึงก้าวไปอย่างนี้ ท่านพึงถอยกลับอย่างนี้ ท่านพึงแลอย่างนี้ ท่านพึงเหลียวอย่างนี้ ท่านพึงคู้เข้าอย่างนี้ ท่านพึงเหยียดออกอย่างนี้ ท่านพึงทรงสังฆาฏิ บาตรและจีวรอย่างนี้
กุลบุตรนั้นมีความดำริอย่างนี้ว่า เมื่อก่อนเราเป็นคฤหัสถ์ ย่อมตักเตือนบ้าง สั่งสอนบ้าง ซึ่งคนอื่น ก็ภิกษุเหล่านี้ เพียงคราวบุตรคราวหลานของเรา ยังมาสำคัญการที่จะพึงตักเตือนพร่ำสอนเรา เขาจึงบอกคืนสิกขาสึกไป
กุลบุตรผู้นี้เรากล่าวว่า กลัวแต่ภัยเพราะคลื่น แล้วบอกคืนสิกขาสึกไป
คำว่าภัยเพราะคลื่นนี้ เป็นชื่อของความคับใจด้วยสามารถความโกรธ
ก็ภัยเพราะจระเข้เป็นไฉน
กุลบุตรบางคนมีศรัทธาออกบวชเป็นบรรพชิต ด้วยคิดว่า เราเป็นผู้อันทุกข์ครอบงำแล้ว เป็นผู้อันทุกข์ท่วมทับแล้ว ทำไฉน การทำที่สุดแห่งกองทุกข์ทั้งสิ้นนี้จะพึงปรากฏได้
เพื่อนพรหมจรรย์ทั้งหลายย่อมตักเตือนสั่งสอนกุลบุตรผู้บวชแล้วอย่างนั้นว่า
สิ่งนี้ท่านควรเคี้ยวกิน ควรฉัน ควรดื่ม ควรลิ้ม สิ่งนี้ท่านไม่ควรเคี้ยวกิน ไม่ควรฉัน ไม่ควรดื่ม ไม่ควรลิ้ม
สิ่งเป็นกัปปิยะท่านควรเคี้ยวกิน ควรฉัน สิ่งเป็นอกัปปิยะท่านไม่ควรเคี้ยวกิน ไม่ควรฉัน สิ่งเป็นกัปปิยะท่านควรลิ้ม
ท่านควรเคี้ยวกิน ควรฉัน ควรดื่ม ควรลิ้ม ในกาล ท่านไม่ควรเคี้ยวกิน ไม่ควรฉัน ไม่ควรดื่ม ไม่ควรลิ้มในวิกาล
กุลบุตรนั้นย่อมมีความดำริอย่างนี้ว่า
เมื่อก่อนเราเป็นคฤหัสถ์ ปรารถนาจะเคี้ยวกิน จะบริโภค จะดื่ม จะลิ้ม สิ่งใดก็เคี้ยวกินสิ่งนั้นได้ ไม่ปรารถนาจะเคี้ยวกินสิ่งใด ก็ไม่เคี้ยวกิน ไม่บริโภค ไม่ดื่ม ไม่ลิ้ม สิ่งนั้นได้
จะเคี้ยวกิน จะบริโภค จะดื่ม จะลิ้ม สิ่งเป็นกัปปิยะก็ได้ จะเคี้ยวกิน จะบริโภค จะดื่ม จะลิ้ม สิ่งเป็นอกัปปิยะก็ได้
จะเคี้ยวกิน จะบริโภค จะดื่ม จะลิ้ม ในกาลก็ได้ จะเคี้ยวกิน จะบริโภค จะดื่ม จะลิ้ม ในวิกาลก็ได้
ก็คฤหบดีทั้งหลายผู้มีศรัทธา ย่อมให้ของควรเคี้ยว ของควรบริโภคอันประณีตในวิกาลเวลากลางวัน อันใด แก่เราทั้งหลาย ชะรอยภิกษุเหล่านั้นจะทำการห้ามปากในสิ่งนั้นเสีย ดังนี้ เขาจึงบอกคืนสิกขาสึกไป
กุลบุตรผู้นี้เรากล่าวว่า กลัวแต่ภัยเพราะจระเข้ บอกคืนสิกขาสึกไป
คำว่าภัยเพราะจระเข้นี้ เป็นชื่อของความเป็นผู้เห็นแก่ท้อง
ดูกรภิกษุทั้งหลาย ก็ภัยเพราะน้ำวนเป็นไฉน
กุลบุตรบางคนมีศรัทธาออกบวชเป็นบรรพชิต ฯลฯ
เขาบวชแล้วอย่างนี้ เวลาเช้านุ่งสบงแล้ว ถือบาตรและจีวรเข้าไปบิณฑบาตยังบ้านหรือนิคม ไม่รักษากาย ไม่รักษาวาจา ไม่ดำรงสติ ไม่สำรวมอินทรีย์เลย
เขาเห็นคฤหบดีหรือบุตรคฤหบดี ผู้เอิบอิ่มพร้อมพรั่งบำเรออยู่ด้วยกามคุณห้า ในบ้านหรือนิคมนั้น เขามีความคิดอย่างนี้ว่า เมื่อก่อนเราเป็นคฤหัสถ์ เป็นผู้เอิบอิ่มพร้อมพรั่งบำเรออยู่ด้วยกามคุณห้า สมบัติก็มีอยู่ในสกุล เราสามารถจะบริโภคสมบัติและทำบุญได้ ดังนี้ เขาจึงบอกคืนสิกขาสึกไป
กุลบุตรผู้นี้เรากล่าวว่าผู้กลัวต่อภัยเพราะน้ำวน บอกคืนสิกขาสึกไป
คำว่าภัยเพราะน้ำวนนี้ เป็นชื่อแห่งกามคุณห้า
ดูกรภิกษุทั้งหลาย ก็ภัยเพราะปลาร้ายเป็นไฉน
กุลบุตรบางคนมีศรัทธาออกบวชเป็นบรรพชิต ฯลฯ
เขาบวชแล้วอย่างนี้ เวลาเช้านุ่งสบงแล้วถือบาตรและจีวร เข้าไปบิณฑบาตยังบ้านหรือนิคม ไม่รักษากาย ไม่รักษาวาจา ไม่ดำรงสติ ไม่สำรวมอินทรีย์เลย
เขาเห็นมาตุคามผู้นุ่งผ้าไม่ดี หรือห่มผ้าไม่ดี เพราะเหตุมาตุคามผู้นุ่งผ้าไม่ดี หรือห่มผ้าไม่ดี ความกำหนัดย่อมตามกำจัดจิตของกุลบุตรนั้น เขามีจิตอันความกำหนัดตามกำจัดแล้ว จึงบอกคืนสิกขาสึกไป
กุลบุตรผู้นี้เรากล่าวว่า กลัวแต่ภัยเพราะปลาร้ายบอกคืนสิกขาสึกไป
คำว่าภัยเพราะปลาร้ายนี้ เป็นชื่อแห่งมาตุคาม
ภัย ๔ อย่างนี้แล เมื่อบุคคลบางคนในโลกนี้ ออกบวชเป็นบรรพชิตในธรรมวินัยนี้ พึงหวังได้