Main navigation

วิธีภาวนา - (ดูทั้งหมด)

พุทธวิธีเจริญอนุปุพนิโรธสมาบัติ ๙ โดยอนุโลมและปฏิโลม | ตปุสสูตร

พุทธวิธีเจริญ
อนุปุพนิโรธสมาบัติ ๙
โดยอนุโลมและปฏิโลม
ตปุสสูตร
พระไตรปิฎก ฉบับหลวง
เล่มที่ ๒๓ ข้อ ๒๔๕

ข้อแนะนำในการปฏิบัติ
ก่อนจะฟัง
พึงเข้าสมาธิสักครู่หนึ่ง
เมื่อได้สมาธิดีแล้ว
ฟังพุทโธวาท และน้อมธรรมมาสู่ใจ
น้อมใจปฏิบัติตามพุทโธวาทตรง ๆ
ให้เข้าใจแจ้ง และได้สภาวะจิตดีจริง
เมื่อได้สภาวะดีใด ให้รักษาสภาวะนั้นออกมาสู่ชีวิตจริง

ความยาววีดิทัศน์ 37:19 นาที
เวลาปฏิบัติ 45 นาที

https://youtu.be/_jnKGAFmKls

-----

สมัยหนึ่ง พระผู้มีพระภาคประทับอยู่ ณ นิคมของชนชาวมัลละ ชื่ออุรุเวลกัปปะ ในแคว้นมัลละ

พระอานนท์พร้อมด้วยตปุสสคฤหบดีเข้าไปเฝ้าพระผู้มีพระภาค แล้วกราบทูลว่า

ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ ตปุสสคฤหบดีกล่าวอย่างนี้ว่า พวกข้าพเจ้าเป็นคฤหัสถ์บริโภคกาม เพลิดเพลินยินดีหมกมุ่นอยู่ในกาม เนกขัมมะไม่ปรากฏแก่ข้าพเจ้า ข้าพเจ้าทั้งหลายได้สดับมาดังนี้ว่า จิตของพวกภิกษุหนุ่มในธรรมวินัยนี้ย่อมแล่นไป เลื่อมใส ตั้งอยู่ในเนกขัมมะ หลุดพ้นในเพราะเนกขัมมะ เมื่อเธอเหล่านั้นพิจารณาเห็นว่า นั่นสงบ

ข้าแต่ท่านผู้เจริญ ภิกษุในธรรมวินัยนี้ต่างกับชนเป็นอันมากคือเนกขัมมะหรือ

พระผู้มีพระภาคตรัสว่า

ข้อนี้เป็นอย่างนั้น แม้เมื่อเราเองก่อนแต่การตรัสรู้ ยังเป็นโพธิสัตว์ ยังไม่ได้ตรัสรู้ ได้มีความคิดอย่างนี้ว่า เนกขัมมะเป็นความดี วิเวกเป็นความดี

จิตของเรานั้นยังไม่แล่นไป ยังไม่เลื่อมใส ยังไม่ตั้งมั่นในเนกขัมมะ ยังไม่หลุดพ้นเพราะเนกขัมมะ เมื่อเราพิจารณาเห็นว่า นี้สงบ

เรานั้นได้มีความคิดว่า อะไรหนอแล เป็นเหตุเป็นปัจจัยให้จิตของเรา ไม่แล่นไป ไม่เลื่อมใส ไม่ตั้งอยู่ในเนกขัมมะ ไม่หลุดพ้น ในเนกขัมมะ เพราะเราเห็นว่า นั่นสงบ

เรานั้นจึงคิดต่อไปว่าโทษในกามทั้งหลายที่เรายังไม่เห็นและไม่ได้กระทำให้มาก อานิสงส์ในเนกขัมมะ เรายังไม่ได้บรรลุ และไม่ได้เสพโดยมาก เพราะฉะนั้น จิตของเราจึงไม่แล่นไป ไม่เลื่อมใส ไม่ตั้งอยู่ในเนกขัมมะ ไม่หลุดพ้นในเนกขัมมะ

เราได้มีความคิดว่า ถ้าว่าเราเห็นโทษในกามทั้งหลายแล้ว พึงกระทำให้มาก บรรลุอานิสงส์ในเนกขัมมะแล้ว พึงเสพอานิสงส์นั้นโดยมาก ข้อนี้เป็นฐานะที่จะมีได้ คือ จิตของเราจะพึงแล่นไป พึงเลื่อมใส พึงตั้งอยู่ในเนกขัมมะ พึงหลุดพ้นในเนกขัมมะ เมื่อเราพิจารณาเห็นว่า นั่นสงบ

สมัยต่อมา เราเห็นโทษในกามแล้ว ได้กระทำให้มาก บรรลุอานิสงส์ในเนกขัมมะแล้วเสพโดยมาก จิตของเราจึงแล่นไป เลื่อมใส ตั้งอยู่ในเนกขัมมะ หลุดพ้นในเนกขัมมะ เพราะเราพิจารณาเห็นว่า นั่นสงบ

เราสงัดจากกาม สงัดจากอกุศลธรรม บรรลุปฐมฌาน มีวิตกวิจาร มีปีติและสุขเกิดจากวิเวกอยู่ เมื่อเรานั้นอยู่ด้วยวิหารธรรมนี้ สัญญามนสิการอันสหรคตด้วยกามย่อมฟุ้งซ่าน ข้อนั้นเป็นอาพาธของเรา

เรานั้นมีความคิดว่า ไฉนหนอ เราพึงบรรลุทุติยฌาน ฯลฯ จิตของเรานั้นไม่แล่นไป ไม่เลื่อมใส ไม่ตั้งอยู่ในทุติยฌานอันไม่มีวิตกวิจาร ไม่หลุดพ้นในทุติยฌานอันไม่มีวิตกวิจาร เมื่ออพิจารณาเห็นว่า นั่นสงบ

เรานั้นได้มีความคิดว่า อะไรเป็นเหตุเป็นปัจจัย ให้จิตของเราไม่แล่นไป ไม่เลื่อมใส ไม่ตั้งอยู่ในทุติยฌานอันไม่มีวิตกวิจาร

เราได้มีความคิดว่า โทษในวิตก เราไม่เห็นและไม่ได้ทำให้มาก อานิสงส์ในทุติยฌานอันไม่มีวิตกวิจาร เราไม่ได้บรรลุและไม่ได้เสพโดยมาก เหตุนั้น จิตของเราจึงไม่แล่นไป... ในทุติยฌาน

เรานั้นได้มีความคิดว่า ถ้าเราเห็นโทษในวิตกแล้ว กระทำให้มาก บรรลุอานิสงส์ในทุติยฌานอันไม่มีวิตกวิจารแล้ว พึงเสพโดยมาก จิตของเราพึงแล่นไป... ในทุติยฌาน

สมัยต่อมา เราเห็นโทษในวิตก... บรรลุอานิสงส์ในทุติยฌานแล้ว เสพโดยมาก จิตของเราจึงแล่นไป... ใทุติยฌานอันไม่มีวิตกวิจาร...

เราบรรลุทุติยฌาน เมื่อเราอยู่ด้วยวิหารธรรมนี้ สัญญามนสิการอันสหรคตด้วยวิตกย่อมฟุ้งซ่าน...

เราได้มีความคิดว่า ไฉนหนอ เราจะพึงมีอุเบกขา มีสติมีสัมปชัญญะ เสวยสุขด้วยนามกาย เพราะปีติสิ้นไป บรรลุตติยฌานที่พระอริยเจ้าทั้งหลายสรรเสริญว่า ผู้ได้ฌานนี้ เป็นผู้มีอุเบกขา มีสติอยู่เป็นสุข

จิตของเราไม่แล่นไป... ไม่ตั้งอยู่ในตติยฌาน เรานั้นได้มีความคิดว่า อะไรเป็นเหตุเป็นปัจจัยให้จิตของเราไม่แล่นไป... ในเพราะตติยฌานอันไม่มีปีติ เมื่อพิจารณาเห็นว่า นั่นสงบ

เรานั้นได้มีความคิดว่า โทษในปีติ เราไม่เห็นและไม่ได้ทำให้มาก อานิสงส์ในตติยฌานอันไม่มีปีติ เราไม่ได้บรรลุและไม่ได้เสพโดยมาก เหตุนั้น จิตของเราจึงไม่แล่นไป... ในตติยฌานอันไม่มีปีติ เมื่อพิจารณาเห็นว่า นั่นสงบ

เราได้มีความคิดว่า ถ้าเราเห็นโทษในปีติแล้ว กระทำให้มาก บรรลุอานิสงส์ในตติยฌานอันไม่มีปีติแล้ว เสพโดยมาก จิตของเราพึงแล่นไป... ในตติยฌาน

สมัยต่อมาเราเห็นโทษในปีติ จิตของเราจึงแล่นไป... ในตติยฌานอันไม่มีปีติ...

เราบรรลุตติยฌาน เมื่อเราอยู่ด้วยวิหารธรรมนี้ สัญญามนสิการอันสหรคตด้วยปีติย่อมฟุ้งซ่าน...

เราได้มีความคิดว่า ไฉนหนอ เราพึงบรรลุจตุตถฌาน...

จิตของเราไม่แล่นไป... ไม่ตั้งอยู่ในจตุตถฌานอันไม่มีทุกข์ ไม่มีสุข เพราะพิจารณาเห็นว่า นั่นสงบ

เราได้มีความคิดว่า อะไรเป็นเหตุเป็นปัจจัยให้จิตของเราไม่แล่นไป... ในจตุตถฌาน

เรานั้นมีความคิดว่า โทษในอุเบกขาและสุข เราไม่เห็นและไม่ได้ทำให้มาก... อานิสงส์ในจตุตถฌาน เราไม่ได้บรรลุและไม่ได้เสพโดยมาก เหตุนั้น จิตของเราจึงไม่แล่นไป... ในจตุตถฌาน

เรานั้นได้มีความคิดว่า ถ้าเราเห็นโทษในอุเบกขาและสุขแล้ว กระทำให้มาก บรรลุอานิสงส์ในจตุตถฌาน ข้อนั้นเป็นฐานะที่จะมีได้ คือ จิตของเราพึงแล่นไป... ในจตุตถฌาน

สมัยต่อมา เราเห็นโทษในอุเบกขาและสุข... จิตของเราจึงแล่นไป... ในจตุตถฌานอันไม่มีทุกข์ไม่มีสุข...

เราบรรลุจตุตถฌาน เมื่อเราอยู่ด้วยวิหารธรรมนี้ สัญญามนสิการอันสหรคตด้วยอุเบกขาย่อมฟุ้งซ่าน...

เราได้มีความคิดว่า อะไรเป็นเหตุเป็นปัจจัยให้จิตของเราไม่แล่นไป... ในอากาสานัญจายตนฌาน

เรานั้นมีความคิดว่า โทษในรูปฌานทั้งหลาย  เราไม่เห็นและไม่ได้ทำให้มาก... อานิสงส์ในอากาสานัญจายตนฌาน เราไม่ได้บรรลุและไม่ได้เสพโดยมาก เหตุนั้น จิตของเราจึงไม่แล่นไป... ในอากาสานัญจายตนฌาน

เรานั้นได้มีความคิดว่า ถ้าเราเห็นโทษในอากาสานัญจายตนฌานแล้ว พึงเสพโดยมาก ข้อนั้นเป็นฐานะที่จะมีได้ คือ จิตของเราพึงแล่นไป... ในอากาสานัญจายตนฌาน

สมัยต่อมา เราเห็นโทษในรูปฌานทั้งหลาย... เสพโดยมาก จิตของเรานั้นจึงแล่นไป...ในอากาสานัญจายตนฌาน

เรานั้นบรรลุอากาสานัญจายตนฌาน  เมื่อเราอยู่ด้วยวิหารธรรมนี้ สัญญามนสิการอันสหรคตด้วยรูปฌานทั้งหลายย่อมฟุ้งซ่าน

เรานั้นได้มีความคิดว่า ไฉนหนอ เราพึงบรรลุวิญญาณัญจายตนฌาน... จิตของเรานั้น ไม่แล่นไป... ในวิญญาณัญจายตนฌาน เมื่อพิจารณาว่า นั่นสงบ

เรานั้นได้มีความคิดว่า อะไรหนอแลเป็นเหตุเป็นปัจจัยเครื่องให้จิตของเราไม่แล่นไป... ในวิญญาณัญจายตนฌาน

เรานั้นได้มีความคิดว่า โทษในอากาสานัญจายตนฌาน เราไม่เห็นและไม่ได้ทำให้มากอานิสงส์ในวิญญาณัญจายตนฌาน เราไม่ได้บรรลุและไม่ได้เสพโดยมาก เหตุนั้นจิตของเราจึงไม่แล่นไป... ในวิญญาณัญจายตนฌาน เมื่อพิจารณาว่านั่นสงบ

เรานั้นได้มีความคิดว่า ถ้าแลเราเห็นโทษในอากาสานัญจายตนฌานแล้ว
พึงกระทำให้มาก บรรลุอานิสงส์ในวิญญาณัญจายตนฌานแล้วพึงเสพโดยมาก ข้อนั้นเป็นฐานะที่จะมีได้ คือ จิตของเราพึงแล่นไป... ในวิญญาณัญจายตนฌาน

สมัยต่อมา เรานั้นเห็นโทษในอากาสานัญจายตนฌาน... เสพโดยมาก จิตของเราจึงแล่นไป... ในวิญญาณัญจายตนฌาน

เราบรรลุวิญญาณัญจายตนฌาน เมื่อเราอยู่ด้วยวิหารธรรมนี้ สัญญามนสิการอันสหรคตด้วยอากาสานัญจายตนฌานย่อมฟุ้งซ่าน

เรานั้นได้มีความคิดว่า ไฉนหนอ เราพึงบรรลุอากิญจัญญายตนฌาน จิตของเรานั้นย่อมไม่แล่นไป ... ในอากิญจัญญายตนฌาน เมื่อพิจารณาเห็นว่า นั่นสงบ

เรานั้นได้มีความคิดว่า อะไรหนอแล เป็นเหตุเป็นปัจจัยเครื่องให้จิตของเราไม่แล่นไป...ในอากิญจัญญายตนฌาน

เรานั้นได้มีความคิดว่า โทษในวิญญาณัญจายตนฌาน เราไม่ได้เห็นและไม่ได้ทำให้มากอานิสงส์ในอากิญจัญญายตนฌาน เราไม่ได้บรรลุและไม่ได้เสพโดยมาก เหตุนั้นจิตของเราจึงไม่แล่นไป... ในอากิญจัญญายตนฌาน เมื่อพิจารณาเห็นว่า นั่นสงบ

เรานั้นได้มีความคิดว่า ถ้าเราเห็นโทษในวิญญาณัญจายตนฌานแล้ว พึงกระทำให้มาก บรรลุอานิสงส์ในอากิญจัญญายตนฌานแล้วพึงเสพโดยมาก ข้อนั้นเป็นฐานะที่จะมีได้ คือ จิตของเราพึงแล่นไป... ในอากิญจัญญายตนฌาน

สมัยต่อมา เรานเห็นโทษในวิญญาณัญจายตนฌาน... เสพโดยมาก จิตของเรา
นั้นจึงแล่นไป... ในอากิญจัญญายตนฌาน

เราบรรลุอากิญจัญญายตนฌาน เมื่อเราอยู่ด้วยวิหารธรรมนี้ สัญญามนสิการอัน
สหรคตด้วยวิญญาณัญจายตนฌานย่อมฟุ้งซ่าน

เรานั้นได้มีความคิดว่า ไฉนหนอ เราพึงบรรลุเนวสัญญานาสัญญายตนฌาน

จิตของเรานั้นไม่แล่นไป ... ในเนวสัญญานาสัญญายตนฌาน เมื่อพิจารณาเห็นว่านั่นสงบ

เรานั้นได้มีความคิดว่า อะไรเป็นเหตุเป็นปัจจัยเครื่องให้จิตของเราไม่แล่นไป... ในเนวสัญญานาสัญญายตนฌาน เมื่อพิจารณาเห็นว่า นั่นสงบ

เรานั้นได้มีความคิดว่า โทษในอากิญจัญญายตนฌาน เราไม่ได้เห็นและไม่ได้ทำ
ให้มาก อานิสงส์ในเนวสัญญานาสัญญายตนฌาน เราไม่ได้บรรลุและไม่ได้เสพ
โดยมาก เหตุนั้น จิตของเรา จึงไม่แล่นไป... ในเนวสัญญานาสัญญายตนฌาน

เรานั้นได้มีความคิดว่า ถ้าเราเห็นโทษในอากิญจัญญายตนฌานแล้วกระทำให้มาก บรรลุอานิสงส์ในเนวสัญญานาสัญญายตนฌานแล้วพึงเสพโดยมาก ข้อนั้นเป็นฐานะที่จะมีได้ คือ จิตของเราพึงแล่นไป... ในเนวสัญญานาสัญญายตนฌาน

สมัยต่อมา เราเห็นโทษในอากิญจัญญายตนฌาน... เสพโดยมาก จิตของเรานั้นจึงแล่นไป... ในเนวสัญญานาสัญญายตนฌาน...

เรานั้นบรรลุเนวสัญญานาสัญญายตนฌาน เมื่อเรานั้นอยู่ด้วยวิหารธรรมนี้ สัญญามนสิการอันสหรคตด้วยอากิญจัญญายตนฌานย่อมฟุ้งซ่าน

เรานั้นได้มีความคิดว่า ไฉนหนอ เรา เพราะล่วงเนวสัญญานาสัญญายตนฌาน พึงบรรลุสัญญาเวทยิตนิโรธ จิตของเรานั้นย่อมไม่แล่นไปไม่เลื่อมใส ไม่ตั้งมั่นในสัญญาเวทยิตนิโรธ ไม่หลุดพ้นในสัญญาเวทยิตนิโรธ เมื่อพิจารณาเห็นว่า นั่นสงบ

เรานั้นได้มีความคิดว่า อะไรเป็นเหตุเป็นปัจจัยเครื่องให้จิตของเราไม่แล่นไป ไม่เลื่อมใส ไม่ตั้งมั่นในสัญญาเวทยิตนิโรธ ไม่หลุดพ้นในเพราะสัญญาเวทยิตนิโรธ

เรานั้นได้มีความคิดว่า โทษในเนวสัญญานาสัญญายตนฌาน เราไม่เห็นและไม่ได้ทำให้มาก อานิสงส์ในสัญญาเวทยิตนิโรธ เราไม่ได้บรรลุและไม่ได้เสพโดยมาก เหตุนั้น จิตของเราจึงไม่แล่นไปไม่เลื่อมใส ไม่ตั้งมั่นในสัญญาเวทยิตนิโรธ ไม่หลุดพ้นในเพราะสัญญาเวทยิตนิโรธ เมื่อพิจารณาเห็นว่า นั่นสงบ

เรานั้นได้มีความคิดว่า ถ้าเราเห็นโทษในเนวสัญญานาสัญญายตนฌาน แล้วพึงกระทำให้มาก บรรลุอานิสงส์ในสัญญาเวทยิตนิโรธแล้วพึงเสพโดยมาก ข้อนี้เป็นฐานะที่จะมีได้ คือจิตของเราจะพึงแล่นไป พึงเลื่อมใส พึงตั้งมั่นในสัญญาเวทยิตนิโรธ พึงหลุดพ้นในสัญญาเวทยิตนิโรธ

สมัยต่อมา เรานั้นเห็นโทษในเนวสัญญานาสัญญายตนฌานแล้ว ทำให้มาก บรรลุ
อานิสงส์ในสัญญาเวทยิตนิโรธแล้วเสพโดยมาก จิตของเรานั้นจึงแล่นไป เลื่อมใส ตั้งมั่นในสัญญาเวทยิตนิโรธ หลุดพ้นในเพราะสัญญาเวทยิตนิโรธ เมื่อพิจารณาเห็นว่า นั่นสงบ

เรานั้นบรรลุสัญญาเวทยิตนิโรธ เพราะล่วงเนวสัญญานาสัญญายตนฌานโดยประการทั้งปวง และอาสวะทั้งหลายของเราได้ถึงความสิ้นไป เพราะเห็นด้วยปัญญา

ก็เรายังเข้าบ้าง ออกบ้าง ซึ่งอนุบุพพวิหารสมาบัติ ๙ ประการนี้ โดยอนุโลมและปฏิโลมอย่างนี้ไม่ได้เพียงใด เราก็ยังไม่ปฏิญาณว่าได้ตรัสรู้อนุตรสัมมาสัมโพธิญาณ ในโลก พร้อมทั้งเทวโลก มารโลก พรหมโลกในหมู่สัตว์ พร้อมทั้งสมณพราหมณ์ เทวดาและมนุษย์ เพียงนั้น

ก็เมื่อใดแล เราเข้าบ้าง ออกบ้าง ซึ่งอนุบุพพวิหารสมาบัติ ๙ ประการนี้ โดยอนุโลมและปฏิโลมอย่างนี้แล้ว เมื่อนั้น เราจึงปฏิญาณว่าได้ตรัสรู้แล้ว ซึ่งอนุตรสัมมาสัมโพธิญาณ ในโลกพร้อมทั้งเทวโลก มารโลก พรหมโลก ในหมู่สัตว์ พร้อมทั้งสมณพราหมณ์ เทวดาและมนุษย์ก็แหละญาณทัสนะเกิดขึ้นแก่เราว่า เจโตวิมุติของเราไม่กำเริบชาตินี้มีในที่สุด บัดนี้ภพใหม่ไม่มี

 

 

พระสูตร
ตปุสสูตร พระไตรปิฎก ฉบับหลวง เล่มที่ ๒๓ ข้อ ๒๔๕