Main navigation

วิธีภาวนา - (ดูทั้งหมด)

พุทธวิธีขจัดความกลัวเมื่ออยู่ป่า | ภยเภรวสูตร

พุทธวิธีขจัดความกลัวเมื่ออยู่ป่า
ภยเภรวสูตร
พระไตรปิฎก ฉบับหลวง
เล่มที่ ๑๒ ข้อ ๒๗-๕๒

ข้อแนะนำในการปฏิบัติ
ก่อนจะฟัง
พึงเข้าสมาธิสักครู่หนึ่ง
เมื่อได้สมาธิดีแล้ว
ฟังพุทโธวาท และน้อมธรรมมาสู่ใจ
น้อมใจปฏิบัติตามพุทโธวาทตรง ๆ
ให้เข้าใจแจ้ง และได้สภาวะจิตดีจริง
เมื่อได้สภาวะดีใด ให้รักษาสภาวะนั้นออกมาสู่ชีวิตจริง

ความยาววีดิทัศน์ 36:23 นาที
เวลาปฏิบัติ 45 นาที

-------

ณ พระวิหารเชตวัน อารามของอนาถบิณฑิกเศรษฐี เขตพระนครสาวัตถี ชาณุโสณีพราหมณ์ได้กราบทูลพระผู้มีพระภาคดังนี้ว่า

ข้าแต่ท่านพระโคดม เสนาสนะอันสงัด ที่เป็นป่าและเป็นป่าเปลี่ยวยากที่จะเป็นอยู่ได้ ในภาวะที่โดดเดี่ยว ความสงัดกาย ยากที่จะทำได้ ยากที่จะยินดีได้ ป่าทั้งหลายประหนึ่งจะชักพาใจของภิกษุผู้ยังไม่ได้สมาธิไปเสีย

พระผู้มีพระภาคตรัสว่า

ข้อนี้เป็นอย่างนั้น พราหมณ์ แม้เราเมื่อเป็นโพธิสัตว์ ยังมิได้ตรัสรู้ก่อนตรัสรู้ ได้มีความดำริดังนี้ว่า เสนาสนะอันสงัด ที่เป็นป่าและเป็นป่าเปลี่ยว ยากที่จะเป็นอยู่ได้ ในภาวะที่โดดเดี่ยว ความสงัดกาย ยากที่จะทำได้ ยากที่จะยินดีได้ ป่าทั้งหลายประหนึ่งว่าจะชักพาใจของภิกษุผู้ยังไม่ได้สมาธิไปเสีย

เรานั้นได้มีความดำริดังนี้ว่า สมณะหรือพราหมณ์เหล่าใด

มีกายกรรม มีวจีกรรม มีมโนมกรรม ไม่บริสุทธิ์
มีอาชีวะไม่บริสุทธิ์
มีความอยากได้ มีราคะกล้าในกามทั้งหลาย
มีจิตพยาบาท มีความดำริในใจชั่ว
ถูกถีนมิทธะกลุ้มรุม
ฟุ้งซ่าน มีจิตไม่สงบระงับ
มีความสงสัยเคลือบแคลง
ยกตนข่มผู้อื่น
เป็นผู้หวาดหวั่น มีชาติแห่งคนขลาด
ปรารถนาลาภสักการะและความสรรเสริญ
เป็นผู้เกียจคร้าน มีความเพียรเลวทราม
มีสติหลงลืม ไม่มีสัมปชัญญะ
มีจิตไม่ตั้งมั่น ดิ้นรน กวัดแกว่ง
เป็นคนโง่เขลาเบาปัญญา

เสพเสนาสนะอันสงัด ที่เป็นป่าและเป็นป่าเปลี่ยว สมณพราหมณ์ผู้เจริญเหล่านั้นย่อมมีความกลัวและความขลาดอันเป็นอกุศล เพราะโทษของตน

ส่วนเราเป็นผู้มีกายกรรม
มีวจีกรรม มีมโนมกรรม บริสุทธิ์
มีอาชีวะบริสุทธิ์
ไม่มีความอยากได้
มีจิตประกอบด้วยเมตตา
ปราศจากถีนมิทธะ
มีจิตสงบระงับ
ข้ามความเคลือบแคลงแล้ว
ไม่ยกตน ไม่ข่มผู้อื่น
ปราศจากความหวาดกลัว
มีความปรารถนาน้อย
ปรารภความเพียร
มีสติตั้งมั่น
ถึงพร้อมด้วยสมาธิ
ถึงพร้อมด้วยปัญญา

พระอริยะเหล่าใด มีกายกรรม มีวจีกรรม มีมโนมกรรม บริสุทธิ์ มีอาชีวะบริสุทธิ์ ไม่มีความอยากได้ มีจิตประกอบด้วยเมตตา ปราศจากถีนมิทธะ มีจิตสงบระงับ ข้ามความเคลือบแคลงแล้ว ไม่ยกตน ไม่ข่มผู้อื่น ปราศจากความหวาดกลัว มีความปรารถนาน้อย ปรารภความเพียร มีสติตั้งมั่น ถึงพร้อมด้วยสมาธิ ถึงพร้อมด้วยปัญญา เสพเสนาสนะอันสงัด ที่เป็นป่าและเป็นป่าเปลี่ยว เราก็เป็นองค์หนึ่งในพระอริยะเหล่านั้น

เราเห็นชัดซึ่งความเป็นผู้มีกายกรรม มีวจีกรรม มีมโนมกรรม อันบริสุทธิ์ มีอาชีวะบริสุทธิ์ ไม่มีความอยากได้ มีจิตประกอบด้วยเมตตา ปราศจากถีนมิทธะ มีจิตสงบระงับ ข้ามความเคลือบแคลงแล้ว ไม่ยกตน ไม่ข่มผู้อื่น ปราศจากความหวาดกลัว มีความปรารถนาน้อย ปรารภความเพียร มีสติตั้งมั่น ถึงพร้อมด้วยสมาธิ ถึงพร้อมด้วยปัญญา ในตน จึงถึงความเป็นผู้มีความปลอดภัยโดยยิ่ง เพื่ออยู่ในป่า

ดูกรพราหมณ์ เรานั้นได้มีความดำริว่า ไฉนหนอ เราพึงอยู่ในราตรีที่กำหนดกันว่า ที่สิบสี่ ที่สิบห้า และที่แปดแห่งปักข์ อยู่ในเสนาสนะ คือ อารามเจดีย์ วนเจดีย์ รุกขเจดีย์ อันน่าสะพึงกลัว น่าขนพองสยองเกล้า ถ้ากระไร เราพึงเห็นความกลัวและความขลาดนั้น 

ก็เมื่อเราอยู่ในเสนาสนะนั้น เนื้อมาก็ดี นกยูงทำไม้ให้ตกลงมาก็ดี หรือว่าลมพัดใบไม้ให้ตกลงมาก็ดี gรานั้นได้มีความดำริอย่างนี้ว่า ความกลัวและความขลาดนั่นนั้นมาเป็นแน่ เราจึงเป็นผู้หวังภัยอยู่โดยแท้ ความกลัวและความขลาดนั้นย่อมมาถึงเราผู้เป็นอยู่ เราพึงกำจัดความกลัวและความขลาดนั้นเสีย ดังนี้

ความกลัวและความขลาดนั้น ย่อมมาถึงเราผู้กำลังเดินจงกรมอยู่ เราจะไม่ยืน ไม่นั่ง ไม่นอนเลย ตราบที่เรายังเดินจงกรมอยู่ ย่อมกำจัดความกลัวและความขลาดนั้นได้

เมื่อเรายืนอยู่ ความกลัวและความขลาดนั้นย่อมมา เราจะไม่เดินจงกรม ไม่นั่ง ไม่นอนเลย ตราบเท่าที่เรายังยืนอยู่ ย่อมกำจัดความกลัวและความขลาดนั้นได้

เมื่อเรานั่งอยู่ ความกลัวความขลาดนั้นย่อมมา เราจะไม่นอน ไม่ยืน ไม่เดินจงกรมเลย ตราบเท่าที่เรายังนั่งอยู่ ย่อมกำจัดความกลัวและความขลาดนั้นได้

เมื่อเรานอนอยู่ ความกลัวและความขลาดนั้นย่อมมา เราจะไม่นั่ง ไม่ยืน ไม่เดินจงกรมเลย ตราบเท่าที่เรายังนอนอยู่ ย่อมกำจัดความกลัวและความขลาดนั้นได้

สัตว์ผู้ไม่ลุ่มหลง

ดูกรพราหมณ์ มีอยู่ สมณพราหมณ์พวกหนึ่ง ย่อมสำคัญกลางคืนแท้ๆ ว่ากลางวัน ย่อมสำคัญกลางวันแท้ๆ ว่า กลางคืน เราย่อมกล่าวความสำคัญอย่างนี้ เพราะอยู่ด้วยความหลงของสมณพราหมณ์เหล่านั้น ส่วนเราย่อมสำคัญกลางคืนว่า กลางคืน ย่อมสำคัญกลางวันว่า กลางวัน 

ดูกรพราหมณ์ บุคคลเมื่อจะกล่าวให้ถูก พึงกล่าวว่า สัตว์ผู้มีความไม่หลงเป็นธรรมดา เกิดขึ้นในโลก เพื่อประโยชน์เกื้อกูลแก่ชนเป็นอันมาก เพื่อความสุขแก่ชนเป็นอันมาก เพื่ออนุเคราะห์แก่โลก เพื่อประโยชน์เกื้อกูล เพื่อความสุขแก่เทวดาและมนุษย์ทั้งหลาย

บุคคลเมื่อจะกล่าวให้ถูก พึงกล่าวคำนั้นกะเราว่า สัตว์ผู้มีความไม่หลงเป็นธรรมดา เกิดขึ้นในโลก เพื่อประโยชน์เกื้อกูลแก่ชนเป็นอันมาก เพื่อความสุขแก่ชนเป็นอันมาก เพื่ออนุเคราะห์แก่โลก เพื่อประโยชน์ เพื่อเกื้อกูล เพื่อความสุข แก่เทวดาและมนุษย์ทั้งหลาย

ดูกรพราหมณ์ ความเพียรเราได้ปรารภแล้ว ไม่ย่อหย่อน สติตั้งมั่นไม่ฟั่นเฟือน กายสงบระงับแล้ว ไม่ระส่ำระสาย จิตตั้งมั่น มีอารมณ์แน่วแน่ 

เรานั้นสงัดจากกาม สงัดจากอกุศลธรรม บรรลุปฐมฌาน มีวิตกมีวิจาร มีปีติและสุขเกิดแต่วิเวกอยู่

บรรลุทุติยฌาน มีความผ่องใสแห่งจิตในกายใน เป็นธรรมเอกผุดขึ้น ไม่มีวิตก ไม่มีวิจาร เพราะวิตกวิจารสงบไป มีปีติและสุขเกิดแต่สมาธิอยู่ 

เพราะมีปีติสิ้นไป มีอุเบกขา มีสติสัมปชัญญะและเสวยสุขด้วยกาย บรรลุตติยฌาน ที่พระอริยสาวกทั้งหลายสรรเสริญว่า ผู้ได้ฌานนี้เป็นผู้มีอุเบกขา มีสติ อยู่เป็นสุข 

บรรลุจตุตถฌาน ไม่มีทุกข์ ไม่มีสุข เพราะละสุขละทุกข์และดับโสมนัสโทมนัสก่อนๆ ได้ มีอุเบกขาเป็นเหตุให้สติบริสุทธิ์อยู่

ทรงบรรลุวิชชาในราตรีทั้ง ๓

เรานั้น เมื่อจิตเป็นสมาธิ บริสุทธิ์ ผ่องแผ้ว ไม่มีกิเลสเครื่องยียวน ปราศจากอุปกิเลส อ่อน ควรแก่การงาน ตั้งมั่น ถึงความไม่หวั่นไหวอย่างนี้ 

ย่อมโน้มน้อมจิตไปเพื่อบุพเพนิวาสานุสสติญาณ เรานั้นย่อมระลึกชาติก่อนได้เป็นอันมากว่า ในภพโน้นเรามีชื่อย่างนั้น มีโคตรอย่างนั้น มีผิวพรรณอย่างนั้น มีอาหารอย่างนั้น เสวยสุขเสวยทุกข์อย่างนั้นๆ มีกำหนดอายุเพียงเท่านั้น ครั้นจุติจากภพนั้นแล้ว ได้ไปเกิดในภพโน้น แม้ในภพนั้น เราก็ได้มีชื่ออย่างนั้น มีโคตรอย่างนั้น มีผิวพรรณอย่างนั้น มีอาหารอย่างนั้น เสวยสุขเสวยทุกข์อย่างนั้นๆ มีกำหนดอายุเพียงเท่านั้น ครั้นจุติจากภพนั้นแล้ว ได้มาเกิดในภพนี้ เราย่อมระลึกถึงขันธ์ที่เคยอยู่อาศัยได้เป็นอันมาก พร้อมทั้งอาการพร้อมทั้งอุเทศ ด้วยประการฉะนี้

ดูกรพราหมณ์ วิชชาที่หนึ่งนี้แล เราบรรลุแล้ว ในปฐมยามแห่งราตรี กำจัดอวิชชาเสียได้ วิชชาก็เกิดขึ้น กำจัดความมืดเสียได้ ความสว่างก็เกิดขึ้น เหมือนเมื่อบุคคลไม่ประมาท มีความเพียรเผากิเลสให้เร่าร้อน ส่งตนไปแล้วอยู่ ฉะนั้น

เรานั้นเมื่อจิตเป็นสมาธิบริสุทธิ์ ผ่องแผ้ว ไม่มีกิเลสเครื่องยียวน ปราศจากอุปกิเลส อ่อน ควรแก่การงาน ตั้งมั่น ถึงความไม่หวั่นไหวอย่างนี้ 

โน้มน้อมจิตไปเพื่อรู้จุติและอุปบัติของสัตว์ทั้งหลาย เรานั้นเห็นหมู่สัตว์ที่กำลังจุติ กำลังอุปบัติ เลว ประณีต มีผิวพรรณดี มีผิวพรรณทราม ได้ดี ตกยาก ด้วยทิพยจักษุอันบริสุทธิ์ ล่วงจักษุของมนุษย์ ย่อมรู้ชัดซึ่งหมู่สัตว์ผู้เป็นไปตามกรรม

ดูกรพราหมณ์ วิชชาที่สองนี้แล เราบรรลุแล้วในมัชฌิมยามแห่งราตรี กำจัดอวิชชาเสียได้ วิชชาก็เกิดขึ้น กำจัดความมืดเสียได้ ความสว่างก็เกิดขึ้น เหมือนเมื่อบุคคลไม่ประมาท มีความเพียรเผากิเลสให้เร่าร้อน ส่งตนไปแล้วอยู่ ฉะนั้น

เรานั้นเมื่อจิตเป็นสมาธิบริสุทธิ์ ผ่องแผ้ว ไม่มีกิเลสเครื่องยียวน ปราศจากอุปกิเลส อ่อน ควรแก่การงาน ตั้งมั่น ถึงความไม่หวั่นไหวอย่างนี้ 

โน้มน้อมจิตไปเพื่ออาสวักขยญาณ ได้รู้ชัดตามเป็นจริงว่า นี้ทุกข์ นี้ทุกข์สมุทัย นี้ทุกขนิโรธ นี้ทุกขนิโรธคามินีปฏิปทา เหล่านี้อาสวะ นี้อาสวสมุทัย นี้อาสวนิโรธ นี้อาสวนิโรธคามินีปฏิปทา เมื่อเรานั้นรู้เห็นอย่างนี้ จิตก็หลุดพ้น แม้จากกามาสวะ แม้จากภวาสวะ แม้จากอวิชชาสวะ เมื่อจิตหลุดพ้นแล้ว ก็มีญาณหยั่งรู้ว่า หลุดพ้นแล้ว ได้รู้ชัดว่า ชาติสิ้นแล้ว พรหมจรรย์อยู่จบแล้ว กิจที่ควรทำ ทำเสร็จแล้ว กิจอื่นเพื่อความเป็นอย่างนี้ มิได้มี

ดูกรพราหมณ์ วิชชาที่สามนี้แล เราบรรลุแล้วในปัจฉิมยามแห่งราตรี กำจัดอวิชชาเสียได้แล้ว วิชชาก็เกิดขึ้น กำจัดความมืดเสียได้แล้ว ความสว่างก็เกิดขึ้นเหมือนเมื่อบุคคลไม่ประมาท มีความเพียรเผากิเลสให้เร่าร้อน ส่งตนไปแล้วอยู่ ฉะนั้น

ดูกรพราหมณ์ บางคราว ท่านจะพึงมีความดำริอย่างนี้ว่า วันนี้พระสมณโคดมยังไม่ปราศจากราคะ ยังไม่ปราศจากโทสะ ยังไม่ปราศจากโมหะแน่นอน เพราะฉะนั้น จึงยังเสพเสนาสนะอันสงัด ทั้งที่เป็นป่าและเป็นป่าเปลี่ยวอยู่ ดังนี้

ดูกรพราหมณ์ ข้อนี้ ท่านอย่าเห็นอย่างนั้นเลย ดูกรพราหมณ์ เราเห็นอำนาจประโยชน์สองอย่าง คือ เห็นความอยู่เป็นสุขในปัจจุบันของตนหนึ่ง อนุเคราะห์ประชุมชนผู้เกิด ณ ภายหลังหนึ่ง จึงเสพเสนาสนะอันสงัด ที่เป็นป่าและเป็นป่าเปลี่ยว

 

 

 

พระสูตร
ภยเภรวสูตร พระไตรปิฎก ฉบับหลวง เล่มที่ ๑๒ ข้อ ๒๗-๕๒