Main navigation

สมณะเช่นไรไม่ควรสักการะ เคารพ นับถือ บูชา

Q ถาม :

ดูกรคฤหบดีทั้งหลาย สมณพราหมณ์เช่นไร ไม่ควรสักการะ เคารพ นับถือ บูชา

A พระพุทธเจ้า ตอบ :

สมัยหนึ่ง พระผู้มีพระภาคเสด็จจาริกไปในโกศลชนบท พร้อมด้วยภิกษุสงฆ์หมู่ใหญ่ ทรงแวะยังบ้านพราหมณ์แห่งโกศลชนบทชื่อว่านครวินทะ

พวกพราหมณ์คฤหบดีชาวบ้านนครวินทะได้ทราบข่าวว่า พระสมณะศากยบุตร เสด็จออกจากศากยราชสกุลทรงผนวชแล้ว พระโคดมผู้มีพระภาคพระองค์นั้น มีกิตติศัพท์งามฟุ้งไปอย่างนี้ว่า

พระผู้มีพระภาคพระองค์นั้น เป็นผู้ไกลจากกิเลส ตรัสรู้เองโดยชอบ ถึงพร้อมด้วยวิชชาและจรณะ ดำเนินไปดี ทรงรู้แจ้งโลก เป็นสารถีผู้ฝึกบุรุษที่ควรฝึกอย่างหาคนอื่นยิ่งกว่ามิได้ เป็นครูของเทวดาและมนุษย์ทั้งหลาย เป็นผู้ตื่นแล้ว เป็นผู้แจกธรรม พระผู้มีพระภาคพระองค์นั้นทำให้แจ้งด้วยปัญญาอันยิ่งเองแล้ว สอนโลกนี้ทั้งเทวดา มาร พรหม ทุกหมู่สัตว์ทั้งสมณะและพราหมณ์ ทั้งเทวดาและมนุษย์ ให้รู้ทั่ว ทรงแสดงธรรมไพเราะในเบื้องต้น ในท่ามกลาง ในที่สุด พร้อมทั้งอรรถทั้งพยัญชนะ ทรงประกาศพรหมจรรย์บริสุทธิ์บริบูรณ์สิ้นเชิง

ก็การได้เห็นพระอรหันต์ทั้งหลายเห็นปานนั้น ย่อมเป็นการดี

พราหมณ์คฤหบดีชาวบ้านนครวินทะพากันเข้าไปเฝ้าพระผู้มีพระภาคยังที่ประทับ บางพวกถวายอภิวาทพระผู้มีพระภาค แล้วนั่ง ณ ที่ควรส่วนข้างหนึ่ง บางพวกประณมอัญชลีไปทางที่พระผู้มีพระภาคประทับ แล้วนั่ง ณ ที่ควรส่วนข้างหนึ่ง บางพวกประกาศชื่อและโคตรในสำนักของพระผู้มีพระภาค แล้วนั่ง ณ ที่ควรส่วนข้างหนึ่ง บางพวกมีอาการเฉย ๆ นั่ง ณ ที่ควรส่วนข้างหนึ่ง

พระผู้มีพระภาคได้ตรัสกะพราหมณ์คฤหบดีชาวบ้านนครวินทะ ว่า

ดูกรคฤหบดีทั้งหลาย ถ้าปริพาชกเจ้าลัทธิอื่นถามท่านทั้งหลายอย่างนี้ว่า

สมณพราหมณ์เช่นไร ไม่ควรสักการะเคารพ นับถือ บูชา

ท่านทั้งหลายถูกถามอย่างนี้แล้ว พึงพยากรณ์ (ตอบ) อย่างนี้ว่า

สมณพราหมณ์เหล่าใดยังมีความกำหนัด ความขัดเคือง ความลุ่มหลง ในรูปที่รู้ได้ด้วยจักษุ ในเสียงที่รู้ได้ด้วยโสต ในกลิ่นที่รู้ได้ด้วยฆานะ (จมูก) ในรสที่รู้ได้ด้วยชิวหา (ลิ้น) ในโผฏฐัพพะ (สัมผัส) ที่รู้ได้ด้วยกาย ในธรรมารมณ์ที่รู้ได้ด้วยมโน (ใจ) ไม่ไปปราศแล้ว

ยังมีจิตไม่สงบภายใน ยังประพฤติลุ่ม ๆ ดอนๆ ทางกาย ทางวาจา ทางใจอยู่ สมณพราหมณ์เช่นนี้ ไม่ควรสักการะ เคารพ นับถือ บูชา

นั่นเพราะเหตุไร

เพราะว่า แม้พวกเราก็ยังมีความกำหนัด ความขัดเคือง ความลุ่มหลงในรูปที่รู้ได้ด้วยจักษุ ในเสียงที่รู้ได้ด้วยโสต ในกลิ่นที่รู้ได้ด้วยฆานะ (จมูก) ในรสที่รู้ได้ด้วยชิวหา (ลิ้น) ในโผฏฐัพพะ (สัมผัส) ที่รู้ได้ด้วยกาย ในธรรมารมณ์ที่รู้ได้ด้วยมโน (ใจ) ไม่ไปปราศแล้ว

ยังมีจิตไม่สงบภายใน ยังประพฤติลุ่ม ๆ ดอน ๆ ทางกาย ทางวาจา ทางใจอยู่

ก็เมื่อเราทั้งหลายไม่เห็นแม้ความประพฤติสงบของสมณพราหมณ์พวกนั้นที่ยิ่งขึ้นไป ดังนี้ ฉะนั้น ท่านสมณพราหมณ์เหล่านั้น จึงไม่ควรสักการะ เคารพ นับถือ บูชา

ดูกรคฤหบดีทั้งหลาย ท่านทั้งหลายถูกถามอย่างนี้แล้ว พึงพยากรณ์แก่ปริพาชก เจ้าลัทธิอื่นเหล่านั้นอย่างนี้เถิด      

ถ้าปริพาชกเจ้าลัทธิอื่นถามท่านทั้งหลายอย่างนี้ว่า

สมณพราหมณ์เช่นไร ควรสักการะ เคารพ นับถือ บูชา

ท่านทั้งหลายถูกถามอย่างนี้แล้ว พึงพยากรณ์ (ตอบ) อย่างนี้ว่า

สมณพราหมณ์เหล่าใดปราศจากความกำหนัด ความขัดเคือง ความลุ่มหลง ในรูปที่รู้ได้ด้วยจักษุแล้ว ในเสียงที่รู้ได้ด้วยโสต ในกลิ่นที่รู้ได้ด้วยฆานะ (จมูก) ในรสที่รู้ได้ด้วยชิวหา (ลิ้น) ในโผฏฐัพพะ (สัมผัส) ที่รู้ได้ด้วยกาย ในธรรมารมณ์ที่รู้ได้ด้วยมโน (ใจ)

มีจิตสงบแล้วภายใน ประพฤติสงบทางกาย ทางวาจา ทางใจอยู่ สมณพราหมณ์เช่นนี้ ควรสักการะ เคารพ นับถือ บูชา

นั่นเพราะเหตุไร

เพราะว่า แม้พวกเรายังมีความกำหนัด ความขัดเคือง ความลุ่มหลงในรูปที่รู้ได้ด้วยจักษุ ในเสียงที่รู้ได้ด้วยโสต ในกลิ่นที่รู้ได้ด้วยฆานะ (จมูก) ในรสที่รู้ได้ด้วยชิวหา (ลิ้น) ในโผฏฐัพพะ (สัมผัส) ที่รู้ได้ด้วยกาย ในธรรมารมณ์ที่รู้ได้ด้วยมโน (ใจ) ไม่ไปปราศแล้ว

ยังมีจิตไม่สงบภายใน ยังประพฤติลุ่ม ๆ ดอน ๆ ทางกาย ทางวาจา ทางใจอยู่

ก็เมื่อเราทั้งหลายเห็นแม้ความประพฤติสงบของสมณพราหมณ์พวกนั้นที่ยิ่งขึ้นไป ดังนี้ ฉะนั้น ท่านสมณพราหมณ์เหล่านั้น จึงควรสักการะเคารพ นับถือ บูชา

ถ้าปริพาชกเจ้าลัทธิอื่นถามท่านทั้งหลายอย่างนี้ว่า

ก็อาการและความเป็นไปของท่านผู้มีอายุทั้งหลายเช่นไร จึงเป็นเหตุให้พวกท่านกล่าวถึงท่านผู้มีอายุทั้งหลายอย่างนี้ ว่า

ท่านผู้มีอายุเหล่านั้นเป็นผู้ปราศจากราคะแล้ว หรือปฏิบัติเพื่อนำปราศราคะแน่ เป็นผู้ปราศจากโทสะแล้ว หรือปฏิบัติเพื่อนำปราศโทสะ เป็นผู้ปราศจากโมหะแล้ว หรือปฏิบัติเพื่อนำปราศโมหะแน่

ท่านทั้งหลายถูกถามอย่างนี้แล้ว พึงพยากรณ์อย่างนี้ว่า

ความจริง ท่านผู้มีอายุเหล่านั้น ย่อมเสพเฉพาะเสนาสนะอันสงัด คือ ป่าดง

เป็นที่ไม่มีรูปอันรู้ได้ด้วยจักษุ ซึ่งคนทั้งหลายเห็นแล้ว ๆ จะพึงยินดีเช่นนั้นเลย

เป็นที่ไม่มีเสียงอันรู้ได้ด้วยโสต ซึ่งคนทั้งหลายฟังแล้วๆ จะพึงยินดีเช่นนั้นเลย

เป็นที่ไม่มีกลิ่นอันรู้ได้ด้วยฆานะ ซึ่งคนทั้งหลายดมแล้ว ๆ จะพึงยินดีเช่นนั้นเลย

เป็นที่ไม่มีรสอันรู้ได้ด้วยชิวหา ซึ่งคนทั้งหลายลิ้มแล้ว ๆ จะพึงยินดีเช่นนั้นเลย

เป็นที่ไม่มีโผฏฐัพพะอันรู้ได้ด้วยกาย ซึ่งคนทั้งหลายสัมผัสแล้ว ๆ จะพึงยินดี เช่นนั้นเลย

นี้แล อาการและความเป็นไปของท่านผู้มีอายุเหล่านั้น ซึ่งเป็นเหตุให้พวกข้าพเจ้ากล่าวได้อย่างนี้ว่า ท่านผู้มีอายุเหล่านั้น เป็นผู้ปราศจากราคะแล้ว หรือปฏิบัติเพื่อนำปราศราคะแน่ เป็นผู้ปราศจากโทสะแล้ว หรือปฏิบัติเพื่อนำปราศโทสะแน่ เป็นผู้ปราศจากโมหะแล้ว หรือ ปฏิบัติเพื่อนำปราศโมหะแน่

ดูกรคฤหบดีทั้งหลาย ท่านทั้งหลายถูกถามอย่างนี้แล้วพึงพยากรณ์แก่ปริพาชกเจ้าลัทธิอื่นเหล่านั้นอย่างนี้เถิด

เมื่อพระผู้มีพระภาคตรัสอย่างนี้แล้ว พราหมณ์คฤหบดีชาวบ้านนครวินทะ ได้กราบทูลพระผู้มีพระภาคดังนี้ว่า

แจ่มแจ้งแล้ว พระเจ้าข้า แจ่มแจ้งแล้ว พระเจ้าข้า

พระโคดมผู้เจริญทรงประกาศธรรมโดยปริยายมิใช่น้อย เปรียบเหมือนหงายของที่คว่ำ หรือเปิดของที่ปิด หรือบอกทางแก่คนหลงทาง หรือตามประทีปในที่มืด ด้วยหวังว่า ผู้มีตาดีจักเห็นรูปทั้งหลายได้ ฉะนั้น

พวกข้าพระองค์นี้ขอถึงพระโคดมผู้เจริญ พระธรรม และพระภิกษุสงฆ์ว่าเป็นสรณะ ขอพระโคดมผู้เจริญ จงทรงจำพวกข้าพระองค์ว่า เป็นอุบาสกผู้ถึงสรณะตลอดชีวิต ตั้งแต่วันนี้เป็นต้นไป

 

 

ที่มา
นครวินเทยยสูตร พระไตรปิฎก ฉบับหลวง เล่มที่ ๑๔ ข้อที่ ๘๓๒-๘๓๖