อธิษฐานไปเป็นเทวดา
เคยมีครูบาอาจารย์บางท่านบอกว่า เวลาตายอย่าอธิษฐานให้ไปเป็นเทวดา เพราะว่าอยู่ข้างบนมันสบายไปไม่มีใจจะปฏิบัติธรรม
พิสูจน์ด้วยตัวเอง ประจักษ์แจ้งด้วยตนเอง เป็นความจริงอยู่ว่าข้างบนนั้นสบาย พอข้างบนสบาย การที่จะปฏิบัติเข้ม มันน้อย เพราะมันสบายอยู่ ดังนั้น การขยับชั้นการเลื่อนชั้นก็จะช้าหน่อย พวกที่ลงมาเกิดเป็นมนุษย์มันเผ็ดร้อน โดนคำด่าก็เผ็ดร้อน โดนคำสอนบางทีก็เผ็ดร้อน โดนเวทนาหิวก็เผ็ดร้อน อึไม่ออกก็เผ็ดร้อน อึออกมากเกินไปก็ร้อน ดังนั้น เวทนาในโลกนี้มันแรง
อันนี้เป็นแรงขับดันทำให้มนุษย์อยากหลุดพ้นเร็ว ทำให้มนุษย์ปฏิบัติกันมาก แต่กระนั้นก็มีตัวถ่วงเยอะ เช่น หนึ่ง ระบบครอบครัวเป็นระบบผูกพันกันอีรุงตุงนัง มีระบบความรับผิดชอบที่ซับซ้อนในครอบครัว เกิดความคาดหวัง เกิดอะไรกันเยอะกว่าสวรรค์มาก อันนี้เป็นตัวถ่วงกดใจ อีกหนึ่งคือระบบการทำมาหากิน การอยู่ในโลกทุกวันนี้ต้องทำงาน ต้องทำมาหากิน ต้องมีทรัพย์สิน ต้องสั่งสม ต้องรับผิดชอบต้องสารพัดอย่าง แค่ดิ้นรนทำมาหากิน เสียเวลาไปเท่าไหร่แล้วในชีวิต ประมาณสักกี่เปอร์เซ็นต์ เสียเวลา ตัวนี้ก็เป็นตัวทำให้จิตเตลิด จะเห็นได้ว่าพอไปลุยงานมากๆ ก็ฟุ้งซ่านอีกแล้ว แล้วเจอะเจอแรงกดดันจากลูกค้า จากคู่ค้า จากเจ้านาย จากลูกน้อง จากภาวะเศรษฐกิจ ภาวะการเมือง เครียดอีก แทนที่จะได้บรรลุง่าย เลยไม่ง่ายเลย ทั้งที่แรงขับดันให้อยากบรรลุมันเยอะ มันแรง แต่ก็มีตัวหน่วงตัวปิดกั้นเยอะ ดังนั้น พระพุทธเจ้าไปสอนบนสวรรค์ทีเดียวได้แสนโกฏิอริยะ สอนบนโลกมนุษย์ ๔๔ ปี ยังได้ไม่เท่าไหร่เลย