Main navigation

เทวดาเหล่าไหนมีญาณหยั่งรู้ว่าบุคคลใดบรรลุธรรม

Q ถาม :

ท่านพระโมคคัลลานะคิดว่า เทวดาเหล่าไหนหนอ มีญาณหยั่งรู้อย่างนี้ในบุคคลผู้ยังมีอุปานขันธ์เหลือว่า ยังมีอุปาทานขันธ์เหลือ หรือในบุคคลผู้ไม่มีอุปาทานขันธ์เหลือว่า ไม่มีอุปาทานขันธ์เหลือ

A อื่นๆ ตอบ :

สมัยหนึ่ง พระผู้มีพระภาคประทับอยู่ ณ ภูเขาคิชฌกูฏ ใกล้พระนครราชคฤห์ เมื่อปฐมยามล่วงไป เทวดา ๒ ตนมีรัศมีงาม ยังภูเขาคิชฌกูฏทั้งสิ้นให้สว่างไสวเข้าไปเฝ้าพระผู้มีพระภาคถึงที่ประทับ

เทวดาตนหนึ่งได้กราบทูลพระผู้มีพระภาคว่า

ภิกษุณีเหล่านี้หลุดพ้นแล้ว

เทวดาอีกตนหนึ่งกราบทูลว่า

ภิกษุณีเหล่านี้หลุดพ้นด้วยดีแล้ว เพราะไม่มีอุปาทานขันธ์เหลืออยู่ 

เทวดาเหล่านั้นได้กราบทูลดังนี้แล้ว พระศาสดาทรงพอพระทัย

ลำดับนั้น เทวดาเหล่านั้นทราบว่า พระศาสดาทรงพอพระทัย จึงถวายอภิวาท กระทำประทักษิณแล้วหายไป ณ ที่นั้น


ครั้นล่วงราตรีนั้นไป พระผู้มีพระภาคตรัสเหตุการณ์นั้นให้ภิกษุทั้งหลาย ท่านพระมหาโมคคัลลานะนั่งอยู่ในที่ไม่ไกล คิดเห็นว่า

เทวดาเหล่าไหนหนอ มีญาณหยั่งรู้อย่างนี้ในบุคคลผู้ยังมีอุปานขันธ์เหลือว่า ยังมีอุปาทานขันธ์เหลือ หรือในบุคคลผู้ไม่มีอุปาทานขันธ์เหลือว่า ไม่มีอุปาทานขันธ์เหลือ 

ก็ในสมัยนั้น ภิกษุชื่อติสสะมรณภาพแล้วไม่นาน เข้าถึงพรหมโลกชั้นหนึ่ง เป็นผู้มีฤทธิ์มาก มีอานุภาพมาก ท่านพระมหาโมคคัลลานะได้ไปปรากฏ ณ พรหมโลกนั้น

ท้าวติสสพรหมได้เห็นท่านพระมหาโมคคัลลานะกำลังมาแต่ไกล จึงกล่าวกะท่านว่า

ข้าแต่ท่านโมคคัลลานะผู้นิรทุกข์ นิมนต์มาเถิด ขอนิมนต์ท่านนั่งเถิด นี่อาสนะปูไว้ดีแล้ว

ท่านพระมหาโมคคัลลานะนั่งบนอาสนะที่เขาปูลาดไว้ ติสสพรหมอภิวาทท่านพระมหาโมคคัลลานะแล้ว นั่ง ณ ที่ควรส่วนข้างหนึ่ง ครั้นแล้ว ท่านพระมหาโมคคัลลานะได้ถามว่า 

เทวดาเหล่าไหนแล มีญาณหยั่งรู้อย่างนี้ในบุคคลผู้ยังมีอุปาทานขันธ์เหลือว่า ยังมีอุปาทานขันธ์เหลือ หรือในบุคคลผู้ไม่มีอุปาทานขันธ์เหลือว่า ไม่มีอุปาทานขันธ์เหลือ     

ติสสพรหมกล่าวว่า

เทวดาชั้นพรหมย่อมมีญาณหยั่งรู้อย่างนี้ในบุคคลผู้ยังมีอุปาทานขันธ์เหลือ ว่ายังมีอุปาทานขันธ์เหลือหรือในบุคคลผู้ไม่มีอุปาทานขันธ์เหลือว่าไม่มีอุปาทานขันธ์เหลือ แต่ไม่ใช่เทวดาชั้นพรหมเหล่านั้นทั้งหมด ที่มีญาณหยั่งรู้อย่างนี้ 

เทวดาชั้นพรหมเหล่าใดผู้ยินดีด้วยอายุ วรรณะ สุข ยศ และความเป็นอธิบดีอันเป็นของพรหม แต่ไม่รู้ชัดตามความเป็นจริง ซึ่งอุบายเป็นเครื่องสลัดออกไปอย่างยิ่งแห่งอายุ เป็นต้น เทวดาชั้นพรหมเหล่านั้นไม่มีญาณหยั่งรู้อย่างนี้ในบุคคลผู้มีอุปาทานขันธ์เหลือว่า ยังมีอุปาทานขันธ์เหลือ หรือในบุคคลผู้ไม่มีอุปาทานขันธ์เหลือว่า ไม่มีอุปาทานขันธ์เหลือ 

ส่วนเทวดาชั้นพรหมเหล่าใดไม่ยินดีด้วยอายุ วรรณะ สุข ยศ และความเป็นอธิบดี อันเป็นของพรหม และรู้ชัดตามความเป็นจริง ซึ่งอุบายเป็นเครื่องสลัดออกไปอย่างยิ่งแห่งอายุเป็นต้นนั้น เทวดาชั้นพรหมเหล่านั้น ย่อมมีญาณหยั่งรู้อย่างนี้ 

ภิกษุในธรรมวินัยนี้ เป็นอุภโตภาควิมุติ (ผู้หลุดพ้นทั้งสองส่วน หมายถึงท่านผู้หลุดพ้นจากรูปกายด้วยอรูปสมาบัติ และหลุดพ้นจากนามกายด้วยอริยมรรค) เทวดาเหล่านั้นย่อมรู้ภิกษุนั้นอย่างนี้ว่า ท่านผู้นี้เป็นอุภโตภาควิมุติ กายของท่านจักตั้งอยู่เพียงใด เทวดาและมนุษย์ทั้งหลายจักเห็นท่านเพียงนั้น เพราะกายสลายไป เทวดาและมนุษย์ทั้งหลายจักไม่เห็นท่าน เทวดาเหล่านั้นย่อมมีญาณหยั่งรู้อย่างนี้ในบุคคลผู้ไม่มีอุปาทานขันธ์เหลือว่า ไม่มีอุปาทานขันธ์เหลือ 

ภิกษุในธรรมวินัยนี้ เป็นปัญญาวิมุติ เทวดาเหล่านั้นย่อมรู้ภิกษุนั้นอย่างนี้ว่า ท่านผู้นี้เป็นปัญญาวิมุติ...

ภิกษุในธรรมวินัยนี้ เป็นกายสักขี (ผู้บรรลุฌานแล้วกระทำให้แจ้งซึ่งนิพพาน) เทวดาเหล่านั้น ย่อมรู้ภิกษุนั้นอย่างนี้ว่า ท่านผู้นี้แลเป็นกายสักขี... 

ภิกษุในธรรมวินัยนี้ เป็นทิฏฐิปัตตะ (ผู้ถึงที่สุดทิฏฐิ) เทวดาเหล่านั้น ย่อมรู้ภิกษุนั้นอย่างนี้ว่า ท่านผู้นี้แลเป็นทิฏฐิปัตตะ...

เป็นสัทธาวิมุติ (ผู้หลุดพ้นเพราะศรัทธา) เทวดาเหล่านั้น ย่อมรู้ภิกษุนั้นอย่างนี้ว่า ท่านผู้นี้แลเป็นสัทธาวิมุติ...

เป็นธัมมานุสารี (ผู้ดำเนินตามกระแสธรรม) เทวดาเหล่านั้นย่อมรู้ ภิกษุนั้นอย่างนี้ว่า ท่านผู้นี้แลเป็นธัมมานุสารี ท่านผู้นี้เสพเสนาสนะที่สมควรอยู่ คบกัลยาณมิตร อบรมอินทรีย์ พึงกระทำให้แจ้งซึ่งที่สุดแห่งพรหมจรรย์อันยอดเยี่ยมที่กุลบุตรทั้งหลายออกบวชเป็นบรรพชิตโดยชอบต้องการนั้น ด้วยปัญญาอันยิ่งเอง ในปัจจุบัน เข้าถึงอยู่

เทวดาเหล่านั้นย่อมมีญาณหยั่งรู้อย่างนี้ในบุคคลผู้มีอุปาทานขันธ์เหลือว่า มีอุปาทานขันธ์เหลือ

ท่านพระมหาโมคคัลลานะชื่นชมยินดีภาษิตของท้าวติสสพรหมแล้ว หายจากพรหมโลกไปปรากฏที่เขาคิชฌกูฏ ท่านพระมหาโมคคัลลานะเข้าไปเฝ้าพระผู้มีพระภาค ได้กราบทูลถ้อยคำสนทนาปราศรัยกับท้าวติสสพรหมทั้งหมดแด่พระผู้มีพระภาค 

พระผู้มีพระภาคตรัสว่า

ท้าวติสสพรหมไม่ได้แสดงบุคคลอนิมิตตวิหารี (ผู้มีปรกติบรรลุเจโตสมาธิอันหานิมิตมิได้อยู่) ที่ ๗ แก่ท่านโมคัลลานะหรือ       

ท่านพระมหาโมคคัลลานะกราบทูลขอพระผู้มีพระภาคทรงแสดงถึงบุคคลอนิมิตตวิหารีที่ ๗ 

พระผู้มีพระภาคตรัสว่า 

ภิกษุในธรรมวินัยนี้ ย่อมบรรลุเจโตสมาธิอันหานิมิตมิได้เพราะไม่ใส่ใจถึงนิมิตทั้งปวงอยู่ เทวดาเหล่านั้นย่อมรู้ภิกษุนั้นอย่างนี้ว่า ท่านผู้นี้แลบรรลุเจโตสมาธิอันหานิมิตมิได้ เพราะไม่ใส่ใจถึงนิมิตทั้งปวงอยู่ แม้ไฉน ท่านผู้นี้เสพเสนาสนะที่สมควรอยู่ คบกัลยาณมิตร อบรมอินทรีย์ พึงกระทำให้แจ้งซึ่งที่สุดแห่งพรหมจรรย์อันยอดเยี่ยม ที่กุลบุตรทั้งหลายออกบวชเป็นบรรพชิตต้องการนั้น ด้วยปัญญาอันยิ่งเองในปัจจุบัน เข้าถึงอยู่

ดูกรโมคคัลลานะ เทวดาเหล่านั้นย่อมมีญาณหยั่งรู้อย่างนี้ในบุคคลผู้มีอุปาทานขันธ์เหลือว่า มีอุปาทานขันธ์เหลือ

 

 

ที่มา
ติสสสูตร พระไตรปิฎก ฉบับหลวง เล่มที่ ๒๓ ข้อที่ ๕๓

คำที่เกี่ยวข้อง :

เทวดา บรรลุธรรม