เราควรอ่านพระไตรปิฎกไหม
เรียนถามอาจารย์ครับ ทำไมในพระปิฎกถึงมีเรื่องอัศจรรย์เยอะมาก ศาสนาพุทธว่าด้วยเรื่องทุกข์และการดับทุกข์ แต่ไปมีเรื่องมารเรื่องนางตัณหาอะไร ทั้ง ๆ ที่เป็นเพียงธรรมาธิษฐาน เราควรอ่านพระไตรปิฎกไหมครับ
โอ เรื่องนี้เรื่องใหญ่ ตอนอายุ 25 เราบวช พอบวชเสร็จ ก็เก็บตัวในโบสถ์ เอาพระไตรปิฎกทั้งหมดมาอ่าน ตั้งใจว่า เราบวชในพระพุทธศาสนาต้องรู้จักพระศาสนาอย่างถ่องถ้วน อ่านไปก็พบว่าสิ่งที่เราแสวงหา พระพุทธองค์ทรงรู้หมดแล้ว และทรงรู้มากกว่าที่เราอยากรู้ด้วย สิ่งที่พระพุทธองค์ทรงสอนนั้นมีทุกระบบที่มนุษย์และเทวดาควรรู้
การให้รู้อริยสัจเป็นแก่นธรรมที่พระองค์ประกาศ การพาสรรพจิตบรรลุธรรมเป็นเป้าหมาย กระนั้นพระองค์ทรงบอกว่า ผู้บรรลุธรรมได้มีเพียงน้อยนิด ส่วนผู้ที่ยังไม่บรรลุธรรมมีเป็นจำนวนมาก จึงทรงสอนทั้งวิทยาศาสตร์ รัฐศาสตร์ การทูต เศรษฐศาสตร์ สังคมศาสตร์ การแพทย์ ดาราศาสตร์ กรรมศาสตร์ มิติวิทยา ปรัชญา จิตวิทยา ครอบครัววิทยา และอื่น ๆ อีกมากมาย พระพุทธองค์ทรงสอนได้หมด เพราะทรงเป็นสัพพัญญู เมื่ออ่านพระไตรปิฎกอยู่นั้น ขนลุกเป็นระยะด้วยความซาบซึ้ง พออ่านพระไตรปิฎกจบ อยากปฏิบัติแบบพระสมัยพุทธกาลมาก จึงได้ธุดงค์ไปปฏิบัติตามป่าเขา และแวะไปปฏิบัติกับหลวงปู่หลวงพ่อที่มีชื่อเสียงเกือบทั่วประเทศในสมัยนั้น ก็ได้พบพระอาจารย์ใหญ่โด่งดังระดับประเทศด้านปริยัติท่านหนึ่งบอกว่า นางอรตี นางตัณหา นางราคะ เป็นธรรมาธิษฐานที่พระพุทธเจ้าทรงหมายถึงกิเลสในตนที่กำเริบให้พระองค์พิจารณาเท่านั้น พอไปปฏิบัติกับพระอาจารย์ใหญ่โด่งดังระดับประเทศด้านการปฏิบัติกรรมฐานท่านหนึ่ง ท่านเทศน์เรื่องพญามาร และลูก ๆ คือนางอรตีและน้อง ๆ ทั้งสองนั้นว่า มาแกล้งพระพุทธเจ้าแต่พระพุทธเจ้าก็เอาชนะได้ ท่านเล่าว่ามีตัวตนจริง เราก็เลยงง และสงสัยมาก พระอาจารย์ใหญ่ระดับประเทศที่เคารพสองท่านสอนไม่ตรงกัน
ก็เลยกลับไปดูพระไตรปิฎกอีก ในพระไตรปิฎก พระพุทธองค์ทรงเล่าเหตุการณ์อย่างนี้ ท่านพญามารตามขัดขวาง ข่มขู่พระโพธิสัตว์มาหลายปี แต่พระโพธิสัตว์ก็ไม่หวั่นไหวอะไรเลย จนปีที่หกพระองค์ทรงตัดตัณหาขาด ดับอวิชชาสูญ ตรัสรู้เป็นพระสัมมาสัมพุทธเจ้า พญามารก็เสียใจว่า เราไม่สามารถยังพระสมณโคดมให้อยู่ในอำนาจได้ ไปทุบปฐพีคร่ำครวญอยู่ ลูกสาวคือ นางอรตี นางตัณหา นางราคะ ก็เข้าไปถามไถ่ ทราบว่าพ่อเสียใจเพราะไม่อาจครอบงำพระสมณโคดมได้ เพื่อจะบรรเทาความเศร้าโศกของพ่อ นางจึงอาสาที่จะใช้เสน่ห์ของตนยั่วยวนพระพุทธเจ้า (ซึ่งตอนนั้นตรัสรู้เรียบร้อยแล้ว) ให้หลงใหลอยู่ในอำนาจ จึงไปช่วยกันยั่วยวน แต่พระพุทธองค์ก็ไม่ทรงหวั่นไหว ทั้งปฏิเสธนางทั้งสามอย่างไม่ใยดี
เอาล่ะสิ พระอาจารย์ใหญ่ของไทยสองท่านสอนขัดแย้งกัน พระไตรปิฎกก็มีเรื่องราวอยู่ เราจะเชื่ออะไรดี เรื่องนี้ค้างคาใจมาก เข้าสมาธิทีไรก็ผุดมารบกวนเนือง ๆ วันหนึ่งที่เชียงใหม่จึงตัดสินใจพิสูจน์ความจริงด้วยตัวเอง ตอนนั้นสามทุ่มก็ประกาศไปในจักรวาลว่า “หากนางอรตี นางตัณหา นางราคะ มีอยู่จริงขอให้มาปรากฏในวันนี้ หากไม่มาปรากฏในวันนี้ เราจะสรุปว่าไม่มีอยู่จริง” แล้วก็เข้าสมาธิตามปกติ
ปรากฏว่าเงียบ ดึกแล้ว ก็ไม่มีอะไรปรากฏ จึงไม่ใส่ใจ เข้าสมาธิลึกไปเลย จนกระทั่งตีสาม คลายสมาธิออกมาเพราะเห็นว่าใกล้สว่างแล้ว เราควรงีบสักนิดหนึ่ง ทั้งสามนางคงไม่มีหรอก ออกจากสมาธิก็เอนกายลงนอนบนแท่นสมาธินั่นเอง ยังไม่ทันหลับตาเลย ก็มีร่างโปร่งแสง สวยงาม สวมสไบใสพลิ้ว เข้ามาที่เรา เห็นด้วยตานะยังไม่ได้หลับตา แล้วทั้งสามนางก็เข้ามาจับ มากอด เราก็บอกว่า “ไม่ได้ ไม่ได้ อย่าทำ” ทั้งสามนางก็ไม่สนใจ สัมผัสเราไม่หยุด ก็เลยดุไปว่า “เราเชิญมาดูเฉย ๆ ว่ามีไหม ไม่ได้เชิญมาทำอย่างนี้” นางก็ไม่สนใจอีก ก็ลูบไล้เราอีก และแปลกมาก นางแตะตรงนั้นจะเจ็บตรงนั้นมาก เจ็บเหมือนการเสียดสีของกระดาษทรายมาถูตัว ก็เลยทั้งผลักทั้งถีบ บอกว่า “ไม่เอา ไม่เอา” นางก็ไม่สนใจอีก ลูบไล้ไม่หยุด นึกขึ้นได้ว่า เมื่อกี้อยู่ในสมาธิหลายชั่วโมงนางไม่มา พอออกจากสมาธิเท่านั้น นางมา ก็เลยกลับเข้าสมาธิใหม่ แล้วสั่งด้วยใจในสมาธิว่า “หยุด” แค่นั้นเอง นางชะงัก มีท่าทีละห้อย แล้วถอยกลับไป
เราถูกปล้ำมาด้วยตัวเอง สัมผัสจริง เจ็บจริง แล้วควรจะเชื่ออะไร 1) ประสบการณ์ตรงของตัวเอง 2) พระไตรปิฎก 3) พระอาจารย์ใหญ่ฝ่ายวิปัสสนาธุระ 4) พระอาจารย์ใหญ่ฝ่ายคันถธุระ (ปริยัติ)
สาม confirmation ตรงกัน แน่นอน เราก็เชื่อประสบการณ์ตรงซึ่งตรงกับพระไตรปิฎกและตรงกับพระอาจารย์ใหญ่ฝ่ายวิปัสสนาธุระ ดังนั้น ยืนยัน ท่านพญามารมีจริง นางอรตี นางตัณหา นางราคะ มีตัวตนจริง ไม่ใช่ธรรมาธิษฐาน
หากไปตีความว่าเป็นธรรมาธิษฐานจะเสียหายมาก เพราะนางเหล่านี้มาปรากฏต่อพระพุทธเจ้าหลังตรัสรู้แล้ว หากเป็นกิเลสของพระองค์กำเริบขึ้นมาให้พิจารณาอีก ถ้าเป็นเช่นนั้น แสดงว่าความเป็นอรหันต์ดับกิเลสไม่ขาดสูญจริง ซึ่งไม่เป็นความจริง พระอรหันต์ดับกิเลส ตัณหา อวิชชาขาดสูญแล้ว ไม่อาจกำเริบอีกได้ การตีความเป็นธรรมาธิษฐานจึงเป็นการกล่าวตู่พระพุทธเจ้า กล่าวตู่พระธรรม และกล่าวตู่พระอรหันต์ทั้งหลาย ซึ่งอันตรายมากต่อผู้คิดเช่นนั้น พูดเช่นนั้น กรรมนี้จะทำให้หลงทางยาวนาน
แต่กระนั้นก็อย่าไปคิดว่า ท่านพญามารและลูกสาวชั่วร้ายที่สุด จริง ๆ แล้วท่านพญามารก็คือพระโพธิสัตว์องค์หนึ่ง ในอนาคตก็จะตรัสรู้เป็นพระพุทธเจ้า ก็เป็นหน่อเนื้อพุทธางกูรเหมือนกัน เพียงแต่รับหน้าที่ QC ตรวจสอบคุณภาพเท่านั้นเอง
ประเด็นที่ว่า ควรอ่านพระไตรปิฎกไหม ก่อนอื่นต้องรู้ก่อนว่าพระไตรปิฎกคืออะไร เมื่อพระพุทธเจ้าปรินิพพานใหม่ ๆ พระอรหันต์ห้าร้อยรูป ซึ่งล้วนทรงอภิญญาหก วิโมกข์แปด ปฏิสัมภิทาสี่ ได้พร้อมใจกันรวบรวมพระธรรมวินัยทั้งหมดที่พระผู้มีพระภาคเจ้าทรงสอนทรงบัญญัติ โดยมีท่านพระมหากัสสปะเป็นประธาน ท่านพระอุบาลีเป็นหัวหน้าฝ่ายพระวินัย ท่านพระอานนท์เป็นหัวหน้าฝ่ายพระสูตร ท่านพระอนุรุทธเป็นหัวหน้าฝ่ายพระอภิธรรม ช่วยกันรวบรวมพระธรรมและพระวินัยทั้งหมด เมื่อยกมาแต่ละธรรมขันธ์ พระอรหันต์ทุกท่านก็มีหน้าที่เช็คว่าตรงความจริงไหม อย่าลืมว่าพระอรหันต์ทั้งหมดล้วนทรงคุณวิเศษ อตีตังสญาณ อนาคตังสญาณ เป็นเรื่องปกติวิสัยธรรมดาของทุกท่าน
แล้วเราจะเชื่อพระอรหันต์ผู้ทรงคุณวิเศษห้าร้อย หรือจะเชื่อพระปุถุชน หรือนักวิชาการปุถุชนที่ยังไม่บรรลุธรรมล่ะ
พระไตรปิฎกฉบับแรกและดั้งเดิมเชื่อถือได้แน่นอนร้อยเปอร์เซ็นต์ หลังจากนั้นก็มีการสังคายนากันมาหลายรอบเพราะพระรุ่นหลัง ๆ เข้าใจในบางธรรมขันธ์แตกต่างกัน สังคายนาสามครั้งแรกนำโดยพระอรหันต์ ก็ยังเชื่อถือได้อยู่ เพราะท่านสามารถตรวจสอบกับเหตุการณ์จริงได้ด้วยญาณของท่าน ยุคนี้เอาพระปริยัติพระนักวิชาการมาสังคายนา อันนี้บอกอะไรไม่ได้ ต้องใช้วิจารณญาณเอาเอง
เมื่ออ่านพระไตรปิฎกทั้งหมดแล้ว เราจะเข้าใจ Big Picture ของสัจจะทั้งปวง แต่จะยังไม่แจ่มแจ้งทั้งหมด เพราะ
1. เป็นแค่ระดับความเข้าใจ แต่ก็เป็นความเข้าใจความมีอยู่เป็นอยู่ทั้งหมด ที่ไม่มีศาสตร์ใด หรือศาสนาอื่นใดในโลกให้เราได้
2. พระพุทธองค์ทรงสอนคนหลายระดับ จึงมีธรรมะบางหมวดที่หากไม่ลึกซึ้งจะเข้าใจว่าขัดแย้งกัน เช่น “สัพเพ ธัมมา อนัตตาติ” สิ่งทั้งปวงไม่เป็นตน แต่ขณะเดียวกันก็ทรงสอนว่า “ตนแล ย่อมเป็นที่พึ่งแห่งตน” “บุคคลมีกรรมเป็นของของตน” อ้าวตนมาจากไหน ก็มันเป็นอนัตตาแล้ว ตนมาจากไหนอีก ถ้าอ่านอย่างเดียว จะยังกังขาอยู่
3. ทั้งสิ่งที่เข้าใจและสิ่งที่สงสัยก็ไปรวมในสัญญาเป็นระบบความทรงจำ ยังไม่ใช่สภาวะจริง
ดังนั้น ทางเดียวที่จะแจ่มแจ้งความเป็นจริงได้ คือต้องปฏิบัติจริงจังตามที่พระพุทธองค์ทรงสอนชนิดที่ถวายชีวิตเลย ตายเป็นตาย ขอแจ่มแจ้งความจริงทั้งปวง และได้ผลดีตามที่พระพุทธองค์ทรงสอน เมื่อปฏิบัติจริงตลอดเวลาจนได้ผลดีโดยลำดับแล้ว จะเริ่มแจ่มแจ้งธรรมมากขึ้น ๆ ความเป็นจริงมีหลายมิติ ธรรมจึงมีหลายนัยยะ ส่วนสัจธรรมสูงสุดย่อมมีหนึ่งเดียว
แล้วพวกเราล่ะควรทำอย่างไร
ง่ายมาก ปฏิบัติ ปฏิบัติ ปฏิบัติ สงสัยอะไรก็ก้าวข้ามไปก่อน เมื่อปฏิบัติถึงที่สุดแล้วจะแจ่มแจ้งเอง หากมัววนเวียนอยู่กับความสงสัย จะเข้าสมาธิไม่ได้ บรรลุธรรมก็ไม่ได้ หากคิดผิดพูดผิด ยิ่งเสียหายใหญ่ อะไรที่ไม่รู้ก็บอกว่า “ไม่รู้” ไม่ต้องพยายามรู้ด้วยการตีความ การตีความนั้นพระผู้มีพระภาคตรัสว่าเป็นเหตุให้เกิดสัทธรรมปฏิรูป สัทธรรมปฏิรูปเป็นเหตุให้พระธรรมวินัยเลอะเลือนไป และทรงบอกว่า ทิฏฐิวิบัติและศีลวิบัตินั่นแหละ เป็นเหตุแห่งความเสื่อมของพระศาสนา ดังนั้น อย่ามีส่วนทำลายพระศาสนาด้วยเจตนาดีที่ไม่ตั้งใจ ก็ไม่พ้นวิบากกรรมเช่นกัน
เราอ่านพระไตรปิฎกมาสี่รอบแล้ว บอกได้อย่างเดียวว่าพระไตรปิฎกคือประมวลความรู้ชั้นสูงสุดสำหรับมวลมนุษย์และเทวดาทั้งหลาย พระไตรปิฎกคืออภิระบบแห่งความจริงทั้งปวง มีระบบปฏิบัติการดับทุกข์สู่สุขแท้ เป็นพระธรรมเจดีย์ที่พวกเรากราบได้เลย
สำหรับพวกเราชาวพุทธ การรอบรู้ธรรมในพระไตรปิฎกเป็นความดียิ่งเบื้องต้น การปฏิบัติธรรมจนแจ่มแจ้งสัจธรรมเป็นความดียิ่งเบื้องกลาง การบรรลุธรรมเป็นความดียิ่งเบื้องสูง ดีทุกระดับก็เป็นเลิศ เป็นที่พึ่งอันประเสริฐสุด เป็นรัตนะล้ำค่าแห่งจักรวาล