เหตุให้ทรงพยากรณ์ว่าสาวกทำกาละแล้ว เกิดในภพใด
ดูกรอนุรุทธะทั้งหลาย เธอจะสำคัญความข้อนั้นเป็นไฉน ตถาคตเห็นอำนาจประโยชน์อะไรอยู่ จึงพยากรณ์สาวกทั้งหลายผู้ทำกาละล่วงลับไปแล้วในภพที่เกิดทั้งหลายว่าสาวกชื่อโน้นเกิดในภพโน้น สาวกชื่อโน้นเกิดในภพโน้น
พระอนุรุทธะตอบว่า
ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ ธรรมทั้งหลายของข้าพระองค์ทั้งหลายมีพระผู้มีพระภาคเป็นมูล มีพระผู้มีพระภาคเป็นแบบแผน มีพระผู้มีพระภาคเป็นที่พึ่งพาอาศัย ขอเนื้อความแห่งภาษิตนี้จงแจ่มแจ้งกะพระผู้มีพระภาคเถิด ภิกษุทั้งหลายได้ฟังต่อพระผู้มีพระภาคแล้วจักทรงไว้
ดูกรอนุรุทธะทั้งหลาย ตถาคตจะพยากรณ์สาวกทั้งหลายผู้ทำกาละล่วงลับไปแล้ว ในภพที่เกิดทั้งหลายว่า สาวกชื่อโน้นเกิดในภพโน้น สาวกชื่อโน้นเกิดในภพโน้น ดังนี้ เพื่อให้คนพิศวงก็หามิได้ เพื่อเกลี้ยกล่อมคนก็หามิได้ เพื่ออานิสงส์คือลาภสักการะและความสรรเสริญก็หามิได้ ด้วยความประสงค์ว่า คนจงรู้จักเราด้วยเหตุนี้ก็หามิได้
กุลบุตรผู้มีศรัทธา มีความยินดีมาก มีความปราโมทย์มาก มีอยู่ กุลบุตรเหล่านั้นได้ฟังคำพยากรณ์นั้นแล้ว จะน้อมจิตเข้าไปเพื่อความเป็นอย่างนั้นบ้าง ข้อนั้นจะมีเพื่อประโยชน์เกื้อกูลเพื่อความสุข แก่กุลบุตรเหล่านั้นสิ้นกาลนาน
ภิกษุ-ภิกษุณีในพระธรรมวินัยนี้ได้ฟังว่า ภิกษุ-ภิกษุณีชื่อนี้ทำกาละแล้ว พระผู้มีพระภาคทรงพยากรณ์ว่า ดำรงอยู่ในอรหัตตผล
ก็ท่านผู้ทำกาละนั้น เป็นผู้อันภิกษุ-ภิกษุณีนั้นได้เห็นเองหรือได้ยินมาว่า เป็นผู้มีศีลอย่างนี้บ้าง มีธรรมอย่างนี้บ้าง มีปัญญาอย่างนี้บ้าง มีวิหารธรรมอย่างนี้บ้าง ว่าเป็นผู้พ้นวิเศษแล้วอย่างนี้บ้าง
ภิกษุ-ภิกษุณีนั้นเมื่อระลึกถึงศรัทธา ศีล สุตะ จาคะ และปัญญาของภิกษุ-ภิกษุณีผู้ทำกาละนั้น จะน้อมจิตเข้าไปเพื่อความเป็นอย่างนั้นบ้าง ความอยู่สำราญย่อมมีได้แก่ภิกษุ-ภิกษุณีแม้ด้วยประการฉะนี้แล
ดูกรอนุรุทธะทั้งหลาย ภิกษุ-ภิกษุณีในพระธรรมวินัยนี้ได้ฟังว่า ภิกษุ-ภิกษุณีชื่อนี้ทำกาละแล้ว พระผู้มีพระภาคทรงพยากรณ์ว่า เป็นผู้ผุดเกิดขึ้น จักปรินิพพานในภพนั้น มีอันไม่กลับจากโลกนั้นเป็นธรรมดา เพราะโอรัมภาคิยสังโยชน์ห้าสิ้นไป
ก็ท่านผู้ทำกาละนั้น เป็นผู้อันภิกษุ-ภิกษุณีนั้นได้เห็นเองหรือได้ยินมาว่า เป็นผู้มีศีลอย่างนี้บ้าง มีธรรมอย่างนี้บ้าง มีปัญญาอย่างนี้บ้าง มีวิหารธรรมอย่างนี้บ้าง ว่าเป็นผู้พ้นวิเศษแล้วอย่างนี้บ้าง
ภิกษุ-ภิกษุณีนั้นเมื่อระลึกถึงศรัทธา ศีล สุตะ จาคะ และปัญญาของภิกษุ-ภิกษุณีผู้ทำกาละนั้น จะน้อมจิตเข้าไปเพื่อความเป็นอย่างนั้นบ้าง ความอยู่สำราญย่อมมีได้แก่ภิกษุ-ภิกษุณีแม้ด้วยประการฉะนี้แล
ดูกรอนุรุทธะทั้งหลาย ภิกษุ-ภิกษุณีในธรรมวินัยนี้ได้ฟังว่า ภิกษุ-ภิกษุณีชื่อนี้ทำกาละแล้ว พระผู้มีพระภาคทรงพยากรณ์ว่า เป็นพระสกทาคามี จักมายังโลกนี้คราวเดียวเท่านั้น แล้วทำที่สุดทุกข์ได้ เพราะสังโยชน์สามสิ้นไป และเพราะราคะ โทสะ และโมหะ เบาบาง
ก็ท่านผู้ทำกาละนั้น เป็นผู้อันภิกษุ-ภิกษุณีนั้นได้เห็นเองหรือได้ยินมาว่า เป็นผู้มีศีลอย่างนี้บ้าง มีธรรมอย่างนี้บ้าง มีปัญญาอย่างนี้บ้าง มีวิหารธรรมอย่างนี้บ้าง ว่าเป็นผู้พ้นวิเศษแล้วอย่างนี้บ้าง
ภิกษุนั้น-ภิกษุณีเมื่อระลึกถึงศรัทธา ศีล สุตะ จาคะ และปัญญาของภิกษุ-ภิกษุณีผู้ทำกาละนั้น จะน้อมจิตเข้าไปเพื่อความเป็นอย่างนั้นบ้าง ความอยู่สำราญย่อมมีได้แก่ภิกษุ-ภิกษุณีแม้ด้วยประการฉะนี้แล
ดูกรอนุรุทธะทั้งหลาย ภิกษุในธรรมวินัยนี้ได้ฟังว่า ภิกษุ-ภิกษุณีชื่อนี้ทำกาละแล้ว พระผู้มีพระภาคทรงพยากรณ์ว่า เป็นพระโสดาบัน มีความไม่ตกต่ำเป็นธรรมดา เป็นผู้เที่ยงมีอันจะตรัสรู้เป็นเบื้องหน้า เพราะสังโยชน์สามสิ้นไป
ถ้าท่านผู้ทำกาละนั้น เป็นผู้อันภิกษุ-ภิกษุณีนั้นได้เห็นเองหรือได้ยินมาว่า เป็นผู้มีศีลอย่างนี้บ้าง มีธรรมอย่างนี้บ้าง มีปัญญาอย่างนี้บ้าง มีวิหารธรรมอย่างนี้บ้าง เป็นผู้พ้นวิเศษแล้วอย่างนี้บ้าง
ภิกษุ-ภิกษุณีนั้นเมื่อระลึกถึงศรัทธา ศีล สุตะ จาคะ และปัญญาของภิกษุ-ภิกษุณีผู้ทำกาละนั้น จะน้อมจิตเข้าไปเพื่อความเป็นอย่างนั้นบ้าง ความอยู่สำราญย่อมมีได้แก่ภิกษุ-ภิกษุณีแม้ด้วยประการฉะนี้แล
ดูกรอนุรุทธะทั้งหลาย อุบาสก-อุบาสิกาในธรรมวินัยนี้ได้ฟังมาว่า อุบาสก-อุบาสิกาชื่อนี้ทำกาละแล้ว พระผู้มีพระภาคทรงพยากรณ์ว่า เป็นผู้ผุดเกิดขึ้น จักปรินิพพานในภพนั้น มีอันไม่กลับจากโลกนั้นเป็นธรรมดา เพราะโอรัมภาคิยสังโยชน์ห้าสิ้นไป
ก็ท่านผู้ทำกาละนั้น เป็นผู้อันอุบาสก-อุบาสิกานั้นได้เห็นเองหรือได้ยินมาว่า เป็นผู้มีศีลอย่างนี้บ้าง มีธรรมอย่างนี้บ้าง มีปัญญาอย่างนี้บ้าง มีวิหารธรรมอย่างนี้บ้าง พ้นวิเศษแล้วอย่างนี้บ้าง
อุบาสก-อุบาสิกานั้นเมื่อระลึกถึงศรัทธา ศีล สุตะ จาคะ และปัญญาของอุบาสก-อุบาสิกาผู้ทำกาละนั้น จะน้อมจิตเข้าไปเพื่อความเป็นอย่างนั้นบ้าง ความอยู่สำราญย่อมมีได้แก่อุบาสก-อุบาสิกา แม้ด้วยประการฉะนี้
ดูกรอนุรุทธะทั้งหลาย อุบาสก-อุบาสิกาในธรรมวินัยนี้ได้ฟังมาว่า อุบาสก-อุบาสิกาชื่อนี้ทำกาละแล้ว พระผู้มีพระภาคทรงพยากรณ์ว่า เป็นพระสกทาคามี จักกลับมายังโลกนี้เพียงคราวเดียว แล้วทำที่สุดทุกข์ได้ เพราะสังโยชน์สามสิ้นไป เพราะราคะ โทสะและโมหะ เบาบาง
ก็ท่านผู้ทำกาละนั้น เป็นผู้อันอุบาสก-อุบาสิกานั้นได้เห็นเองหรือได้ยินมาว่า เป็นผู้มีศีลอย่างนี้บ้าง มีธรรมอย่างนี้บ้าง มีปัญญาอย่างนี้บ้าง มีวิหารธรรมอย่างนี้บ้าง พ้นวิเศษแล้วอย่างนี้บ้าง
อุบาสก-อุบาสิกานั้นเมื่อระลึกถึงศรัทธา ศีล สุตะ จาคะ และปัญญาของอุบาสก-อุบาสิกาผู้ทำกาละนั้น จะน้อมจิตเข้าไปเพื่อความเป็นอย่างนั้นบ้าง ความอยู่สำราญย่อมมีได้แก่อุบาสก-อุบาสิกา แม้ด้วยประการฉะนี้
ดูกรอนุรุทธะทั้งหลาย อุบาสก-อุบาสิกาในธรรมวินัยนี้ได้ฟังมาว่า อุบาสก-อุบาสิกาชื่อนี้ทำกาละแล้ว พระผู้มีพระภาคทรงพยากรณ์ว่า เป็นพระโสดาบัน มีความไม่ตกต่ำเป็นธรรมดา เป็นผู้เที่ยง มีอันจะตรัสรู้เป็นเบื้องหน้า เพราะสังโยชน์สามสิ้นไป
ก็ท่านผู้ทำกาละนั้น เป็นผู้อันอุบาสก-อุบาสิกานั้นได้เห็นเองหรือได้ยินมาว่า เป็นผู้มีศีลอย่างนี้บ้าง มีธรรมอย่างนี้บ้าง มีปัญญาอย่างนี้บ้าง มีวิหารธรรมอย่างนี้บ้าง พ้นวิเศษแล้วอย่างนี้บ้าง
อุบาสก-อุบาสิกานั้นเมื่อระลึกถึงศรัทธา ศีล สุตะ จาคะ และปัญญาของอุบาสก-อุบาสิกาผู้ทำกาละนั้น จะน้อมจิตเข้าไปเพื่อความเป็นอย่างนั้นบ้าง ความอยู่สำราญย่อมมีได้แก่อุบาสก-อุบาสิกา แม้ด้วยประการฉะนี้
ดูกรอนุรุทธะทั้งหลาย ตถาคตย่อมพยากรณ์สาวกทั้งหลาย ผู้ทำกาละไปแล้ว ในภพที่เกิดทั้งหลายว่า สาวกชื่อโน้นเกิดแล้วในภพโน้น สาวกชื่อโน้น เกิดแล้วในภพโน้น ดังนี้ เพื่อให้คนพิศวงก็หามิได้ เพื่อเกลี้ยกล่อมคนก็หามิได้ เพื่ออานิสงส์คือลาภสักการะและความสรรเสริญก็หามิได้ ด้วยความประสงค์ว่า คนจงรู้จักเราด้วยเหตุนี้ก็หามิได้
ดูกรอนุรุทธะทั้งหลาย กุลบุตรทั้งหลายผู้มีศรัทธา มีความยินดีมาก มีปราโมทย์มาก มีอยู่ กุลบุตรเหล่านั้นได้ฟังคำพยากรณ์นั้นแล้ว จะน้อมจิตเข้าไปเพื่อความเป็นอย่างนั้นบ้าง ข้อนั้นย่อมมีเพื่อประโยชน์เกื้อกูล เพื่อความสุขแก่กุลบุตรเหล่านั้นสิ้นกาลนาน
พระผู้มีพระภาคได้ตรัสพระพุทธพจน์นี้แล้ว ท่านพระอนุรุทธะยินดี ชื่นชม พระภาษิตของพระผู้มีพระภาคแล้วแล