อิสสัตถสูตร
เมื่อพระเจ้าปเสนทิโกศลทูลถามว่า บุคคลพึงในทานในที่ไหน พระผู้มีพระภาคตรัสว่า จิตเลื่อมใสในที่ใด พึงให้ทานในที่นั้น
เมื่อพระเจ้าปเสนทิโกศลทูลถามพระผู้มีพระภาคว่า ทานให้ที่ไหนจึงมีผลมาก พระผู้มีพระภาคตรัสว่า ทานที่ให้แล้วแก่ผู้มีศีลมีผลมาก ทานที่ให้แล้วในผู้ทุศีลหามีผลมากไม่
แล้วทรงถามพระเจ้าปเสนทิโกศลว่า หากมีสงครามพึงปะทะกัน ถ้ามีกุมารที่เป็นกษัตริย์ พราหมณ์ แพศย์ ศูทร ผู้ไม่ได้ศึกษา ไม่ได้มีความชำนาญ เป็นคนขลาด มาอาสา พระองค์ จะทรงชุบเลี้ยงบุรุษนั้นหรือทรงต้องการบุรุษเช่นนั้น พระเจ้าปเสนทิโกศล ทูลตอบว่าไม่พึงชุบเลี้ยงและไม่ต้องการบุรุษเช่นนั้น แต่ถ้ามีกุมารที่เป็นกษัตริย์ พราหมณ์ แพศย์ ศูทร ผู้ศึกษาดีแล้ว ได้รับความชำนาญแล้ว ไม่เป็นคนขลาด มาอาสา พระองค์จะทรงชุบเลี้ยงบุรุษและพึงทรงมีพระประสงค์บุรุษเช่นนั้น
พระองค์ทรงตรัสว่า กุลบุตรผู้บวช เป็นผู้มีองค์ ๕ อันละได้แล้ว เป็นผู้ประกอบแล้วด้วยองค์ ๕ ทานที่ให้แล้วในกุลบุตรนั้น ย่อมเป็นทานมีผลมาก
องค์ ๕ อันกุลบุตรนั้นละได้แล้ว คือ ฉันทะ พยาบาท ถีนมิทธะ อุทธัจจกุกกุจจะ วิจิกิจฉา
กุลบุตรนั้นเป็นผู้ประกอบด้วยองค์ ๕ คือ ศีลขันธ์ สมาธิขันธ์ ปัญญาขันธ์ วิมุตติขันธ์ วิมุตติญาณทัสสนขันธ์ อันเป็นของพระอเสขะ
ทานที่ให้แล้วในกุลบุตรผู้มีองค์ ๕ อันละได้แล้ว ผู้ประกอบแล้วด้วยองค์ ๕ ดังนี้ ย่อมมีผลมาก
แล้วทรงภาษิตพระคาถาว่า
ธรรมะคือขันติ และโสรัจจะ ตั้งอยู่แล้วในบุคคลใด บุคคลพึงบูชาบุคคลนั้นผู้มีปัญญา มีความประพฤติเยี่ยงพระอริยะ แม้มีชาติทราม พึงสร้างอาศรมอันเป็นที่รื่นรมย์ ยังผู้พหูสูตทั้งหลายให้พำนักอยู่ พึงถวายข้าว น้ำ ของเคี้ยว ผ้า และเสนาสนะในท่านผู้ซื่อตรงทั้งหลายด้วยน้ำใจอันผ่องใส
อ่าน อิสสัตถสูตร