มหาธรรมปาลชาดก
ในวันที่แปด พระเจ้าสุทโธทนะถวายภัตตาหาร แด่พระผู้มีพระภาคเจ้าพร้อมด้วยภิกษุ ๒๐,๐๐๐ รูป ในพระราชนิเวศน์ ระหว่างภัต พระเจ้าสุทโธทนะตรัสกับพระผู้มีพระภาคว่า ในระหว่างที่พระพุทธองค์ทำความเพียรอยู่ หมู่เทวดาได้มายืนอยู่ในอากาศบอกแก่พระองค์ว่า สิทธัตถกุมารโอรสของพระองค์สิ้นพระชนม์แล้ว เพราะเสวยพระกระยาหารน้อย แต่พระองค์ไม่ทรงเชื่อ และยังกล่าวกับเทวดาว่า หากพระโอรสยังไม่ได้เป็นพระพุทธเจ้าที่โคนต้นโพธิ์ จะยังไม่ปรินิพพาน
พระพุทธองค์ทรงปรารภถึงเรื่องความเป็นผู้ไม่ทรงเชื่อง่ายของพระพุทธบิดา โดยทรงนำเอาเรื่องในอดีตมาสาธก
มหาธรรมปาลชาดก ว่าด้วยเหตุที่ไม่ตายในวัยหนุ่ม
ในอดีตกาล สมัยพระเจ้าพรหมทัตครองราชย์สมบัติในพระนครพาราณสี มีบ้านธรรมปาลคาม ในแคว้นกาสี เป็นที่อยู่ของตระกูลธรรมบาลพราหมณ์ ซึ่งทุกคนในตระกูลจะรักษาธรรม คือกุศลกรรมบถ ๑๐ ส่วนทาสและกรรมกรก็ให้ทานรักษาศีล ทำอุโบสถกรรม
ครั้งนั้น พระโพธิสัตว์เกิดในตระกูลนั้น นามว่าธรรมปาลกุมาร เมื่อโตขึ้น บิดาได้ส่งไปเรียนศิลปะ ณ เมืองตักกศิลา ในสำนักของอาจารย์ทิศาปาโมกข์ ได้เป็นหัวหน้ามาณพพวกอันเตวาสิก ๕๐๐ คน เมื่อบุตรคนโตของอาจารย์ตายลงตั้งแต่ยังหนุ่ม ทั้งอาจารย์ทั้งศิษย์และหมู่ญาติต่างร้องไห้คร่ำครวญอยู่ ณ ที่ฌาปนกิจศพในป่าช้า ยกเว้นธรรมปาลบุตรคนเดียวเท่านั้นที่ไม่ร้องไห้ คร่ำครวญ
เมื่อออกมาจากป่าช้า ธรรมปาลกุมาร กล่าวกับมาณพ ๕๐๐ คน ว่าทำไมมาณพมาตายตั้งแต่ยังหนุ่ม เพราะประเพณีของตระกูลตน จะไม่มีใครตายตอนหนุ่ม มีแต่ตายตอนแก่แล้วเท่านั้น มาณพทั้งหลายจึงนำเรื่องนี้ไปบอกอาจารย์
หลังทำฌาปนกิจศพบุตรเสร็จแล้ว ๗ -๘ วัน อาจารย์ได้เรียกธรรมปาลกุมารมาสั่งให้เป็นผู้บอกศิลปะแก่มาณพทั้งหลาย จนกว่าอาจารย์จะกลับมา แล้วออกเดินทางไปบ้านบิดาของธรรมปาลกุมารเพื่อพิสูจน์ความจริง พร้อมทั้งเก็บกระดูกแพะตัวหนึ่งมาล้างเอาใส่กระสอบ ให้คนรับใช้ถือตามไป
เมื่อถึงเรือนของมหาธรรมปาละ หลังบริโภคอาหาร อาจารย์ทิศาปาโมกข์ได้กล่าวกับบิดาธรรมปาละ ว่า ธรรมปาลกุมาร เป็นคนมีสติปัญญา เรียนจบไตรเพทและศิลปะ ๑๘ ประการแล้ว แต่ได้ตายด้วยโรคอย่างหนึ่ง และปลอบว่าสังขารทั้งปวงไม่เที่ยง อย่าได้เศร้าโศกไปเลย เมื่อบิดาของธรรมปาละได้ฟังก็ตบมือหัวเราะดังลั่น แล้วกล่าวว่า ลูกของตนยังไม่ตาย ที่ตายเป็นคนอื่น แม้อาจารย์ทิศาปาโมกข์จะนำกระดูกออกมาให้ดูและบอกว่าเป็นกระดูกของธรรมปาลกุมาร บิดาของธรรมปาละก็ยังไม่เชื่อ และกล่าวว่ากระดูกนี้เป็นกระดูกแพะหรือสุนัข ไม่ใช่ของบุตรชาย เพราะในตระกูลของพวกเขา ไม่มีใครตายตั้งแต่ยังหนุ่ม มา ๗ ชั่วโคตรแล้ว
อาจารย์ทิศาปาโมกข์เห็นความอัศจรรย์นั้น มีความโสมนัส จึงถามถึงวัตร พรหมจรรย์ ที่ตระกูลธรรมบาลพราหมณ์ถือปฏิบัติ จนมีผลให้คนหนุ่มๆในตระกูลนี้ไม่ตาย
เหตุที่ทำให้คนหนุ่ม ๆในตระกูลธรรมบาลพราหมณ์ไม่ตาย
- ประพฤติธรรม ไม่กล่าวมุสา งดเว้นกรรมชั่ว งดเว้นกรรมอันไม่ประเสริฐทั้งปวง
- ฟังธรรมของอสัตบุรุษ และสัตบุรุษแล้ว ไม่ชอบใจธรรมของอสัตบุรุษ ละทิ้งอสัตบุรุษ แต่ไม่ละทิ้งสัตบุรุษ
- ก่อนจะให้ทาน เป็นผู้ตั้งใจดี แม้กำลังให้ก็ชื่นชมยินดี ครั้นให้แล้วก็ไม่เดือดร้อนในภายหลัง
- เลี้ยงดูสมณะ พราหมณ์ คนเดินทาง วณิพก ยาจก และคนขัดสนทั้งหลาย ให้อิ่มหนำสำราญด้วยข้าวและน้ำ
- ไม่นอกใจภรรยา ภรรยาก็ไม่นอกใจ ประพฤติพรหมจรรย์นอกจากภรรยาของตน
- งดเว้นจากปาณาติบาต งดเว้นสิ่งที่เขาไม่ให้ในโลก ไม่กล่าวมุสา ไม่ดื่มน้ำเมา
- บุตรที่เกิดในหญิงที่ดีเหล่านั้น เป็นผู้ฉลาดเฉลียว มีปัญญามาก เป็นพหูสูต เรียนจบไตรเพท
- มารดาบิดา พี่น้องหญิงชาย บุตรภรรยา และทุกคนประพฤติธรรมเพราะเหตุแห่งโลกหน้า
- ทาส ทาสี คนอาศัยเลี้ยงชีพ คนใช้ และกรรมกรทั้งหมด ประพฤติธรรมเพราะเหตุแห่งโลกหน้า
ธรรมย่อมรักษาผู้ประพฤติธรรม ธรรมที่บุคคลประพฤติดีแล้ว ย่อมนำสุขมาให้ นี้เป็นอานิสงส์ในธรรมที่ประพฤติดีแล้ว ผู้ประพฤติธรรมย่อมไม่ไปสู่ทุคติ ดังนั้นธรรมปาละกุมาร อันธรรมคุ้มครองแล้วยังมีความสุขอยู่ กระดูกที่นำเอามานี้เป็นกระดูกสัตว์อื่น บิดาของธรรมปาละกล่าวกับอาจารย์ทิศาปาโมกข์
อาจารย์ทิศาปาโมกข์ฟังแล้วมีความยินดี ขอขมาโทษแก่บิดาธรรมปาละ แล้วกล่าวว่า การมาในครั้งนี้เป็นการมาดี มีผล ไม่ไร้ผล กระดูกนี้เป็นกระดูกแพะ ธรรมปาละกุมารสบายดี และได้เขียนข้อธรรมที่ได้ฟังลงในสมุด อยู่ต่ออีก ๒-๓ วัน จึงกลับเมืองตักกศิลา ให้ธรรมปาลกุมารศึกษาศิลปะทุกอย่าง แล้วส่งกลับด้วยบริวารใหญ่
เมื่อฟังพระธรรมเทศนาจบ พระเจ้าสุทโธทนะได้ดำรงอยู่ในอนาคามิผล
พระศาสดาทรงประชุมชาดก ว่ามารดาบิดาในครั้งนั้น ได้มาเกิดเป็นพุทธมารดาพุทธบิดาในบัดนี้ อาจารย์ในครั้งนั้นได้มาเกิดเป็นพระสารีบุตรในบัดนี้ บริษัทในครั้งนั้นได้มาเกิดเป็นพุทธบริษัทในบัดนี้ ส่วนธรรมปาลกุมารได้มาเกิดเป็นตถาคต
อ่าน ธรรมปาลชาดก