เตรียมตัวตายให้พ้นอบาย ไปสู่สุคติแน่ ๆ
เรียนท่านอาจารย์ครับ พระโสดาบันจะไม่ลงอบายแน่นอน แล้วคุณพ่อคุณแม่ที่ยังไม่บรรลุธรรม เราจะมีวิธีการใดไหมครับที่จะพาท่านพ้นอบายไปสู่สุคติแน่ ๆ ขอรบกวนท่านอาจารย์ชี้แนะด้วยครับ
พระพุทธเจ้าทรงเล่าว่า เมื่อสัตว์ไปสู่ยมโลก ท่านพระยายมราช ซึ่งเป็นเทพชั้นผู้ใหญ่มีหน้าที่ให้ความเป็นธรรมแก่สัตว์ที่ตายไปแล้ว ท่านจะสอบสัมภาษณ์ก่อน แล้วจึงพิจารณาผลข้อเขียน (กรรมที่ทำและจารึกไว้ทั้งชีวิต)
ในการสอบสัมภาษณ์ ท่านจะถามคำถามวิญญาณนั้น ๕ ประการว่า
๑. เมื่อมีชีวิตอยู่เคยเห็นเด็กเกิดใหม่หรือไม่
เมื่อตอบว่า เห็น
ท่านก็จะถามว่า เห็นแล้วมีความสลดสังเวชใจหรือไม่
ถ้าไม่มีความสังเวชใด ๆ แต่ยินดีปรีดา หรือเฉย ๆ หรือหลงใหล
ท่านก็จะบอกว่า เจ้าถึงความประมาทแล้ว ไม่เห็นสัจธรรมว่าการเกิดเป็นทุกข์
๒. ท่านจะถามอีกว่า เมื่อมีชีวิตอยู่เคยเห็นคนแก่หรือไม่
เมื่อตอบว่า เห็น
ท่านก็จะถามว่า เห็นแล้วมีความสลดสังเวชใจหรือไม่
ถ้าไม่มีความสังเวชใด ๆ หรือเฉย ๆ หรือหลงใหล
ท่านก็จะบอกว่า เจ้าถึงความประมาทแล้ว ไม่เห็นสัจธรรมว่าความแก่เป็นทุกข์
๓. ท่านจะถามอีกว่า เมื่อมีชีวิตอยู่เคยเห็นคนเจ็บหรือไม่
เมื่อตอบว่า เห็น
ท่านก็จะถามว่า เห็นแล้วมีความสลดสังเวชใจหรือไม่
ถ้าไม่มีความสังเวชใด ๆ หรือเฉย ๆ หรือหลงใหล
ท่านก็จะบอกว่า เจ้าถึงความประมาทแล้ว ไม่เห็นสัจธรรมว่าความเจ็บเป็นทุกข์
๔. ท่านจะถามอีกว่า เมื่อมีชีวิตอยู่เคยเห็นคนได้รับโทษทัณฑ์เพราะทำผิดหรือไม่
เมื่อตอบว่า เห็น
ท่านก็จะถามว่า เห็นแล้วมีความสลดสังเวชใจหรือไม่
ถ้าไม่มีความสังเวชใด ๆ หรือเฉย ๆ หรือหลงใหล
ท่านก็จะบอกว่า เจ้าถึงความประมาทแล้ว ไม่เห็นสัจธรรมว่าความผิดและการรับโทษฑันท์เป็นทุกข์
๕. ท่านจะถามอีกว่า เมื่อมีชีวิตอยู่เคยเห็นคนตายหรือไม่
เมื่อตอบว่า เห็น
ท่านก็จะถามว่า เห็นแล้วมีความสลดสังเวชใจหรือไม่
ถ้าไม่มีความสังเวชใด ๆ หรือเฉย ๆ หรือหลงใหล
ท่านก็จะบอกว่า เจ้าถึงความประมาทแล้ว ไม่เห็นสัจธรรมว่าความตายเป็นทุกข์
จากนั้นท่านก็จะดูบัญชีบาปของวิญญาณนั้น และส่งไปลงฑันท์ตามบาปกรรม
แต่ถ้าวิญญาณใด ตอบคำถามดังนี้
๑. เมื่อมีชีวิตอยู่เคยเห็นเด็กเกิดใหม่หรือไม่
เมื่อตอบว่า เห็น
ท่านก็จะถามว่า เห็นแล้วมีความสลดสังเวชใจหรือไม่
ถ้ามีความสังเวชใจ ไม่อยากเกิดอีก จึงศึกษาธรรม ปฏิบัติธรรม
ท่านก็จะบอกว่า เจ้าถึงความไม่ประมาทแล้ว เห็นสัจธรรมว่าการเกิดเป็นทุกข์
๒. เมื่อมีชีวิตอยู่เคยเห็นคนแก่หรือไม่
เมื่อตอบว่า เห็น
ท่านก็จะถามว่า เห็นแล้วมีความสลดสังเวชใจหรือไม่
ถ้ามีความสังเวชใจ เห็นใจ จึงศึกษาธรรม ปฏิบัติธรรม
ท่านก็จะบอกว่า เจ้าถึงความไม่ประมาทแล้ว เห็นสัจธรรมว่าความแก่เป็นทุกข์
๓. เมื่อมีชีวิตอยู่เคยเห็นคนเจ็บหรือไม่
เมื่อตอบว่า เห็น
ท่านก็จะถามว่า เห็นแล้วมีความสลดสังเวชใจหรือไม่
ถ้ามีความสังเวชใจ สงสาร จึงศึกษาธรรม ปฏิบัติธรรม
ท่านก็จะบอกว่า เจ้าถึงความไม่ประมาทแล้ว เห็นสัจธรรมว่าความเจ็บเป็นทุกข์
๔. เมื่อมีชีวิตอยู่เคยเห็นได้รับโทษทัณฑ์เพราะทำผิดหรือไม่
เมื่อตอบว่า เห็น
ท่านก็จะถามว่า เห็นแล้วมีความสลดสังเวชใจหรือไม่
ถ้ามีความสังเวชใจ พยายามที่จะไม่ผิดพลาด จึงศึกษาธรรม ปฏิบัติธรรม
ท่านก็จะบอกว่า เจ้าถึงความไม่ประมาทแล้ว เห็นสัจธรรมว่าได้รับโทษทัณฑ์เพราะทำผิดเป็นทุกข์
๕. เมื่อมีชีวิตอยู่เคยเห็นคนตายหรือไม่
เมื่อตอบว่า เห็น
ท่านก็จะถามว่า เห็นแล้วมีความสลดสังเวชใจหรือไม่
ถ้ามีความสังเวชใจ จึงศึกษาธรรม ปฏิบัติธรรม ให้พ้นความตาย
ท่านก็จะบอกว่า เจ้าถึงความไม่ประมาทแล้ว เห็นสัจธรรมความตายเป็นทุกข์
จากนั้นท่านก็จะดูบัญชีบุญของวิญญาณนั้น และส่งไปเสวยผลบุญตามกรรม
ดังนั้น จะเห็นได้ว่าสิ่งที่ชีวิตจะต้องสอบให้ผ่านมี 2 ส่วน คือ
1. สอบสัมภาษณ์ว่า เห็นสัจธรรมตามจริง มีความไม่ประมาท ปรารถนาพ้นทุกข์ ส่วนนี้คือมีวิปัสสนาญาณบ้างนั่นเอง หรือใช้ชีวิตอย่างประมาทมัวเมาหลงใหล
2. ตรวจสอบดูกิจกรรมที่ทำทั้งชีวิตว่า มีบุญที่ปรากฏชัด จำได้แม่นยำติดจิตใจ ไม่ใช่บุญตามพิธีประเพณีที่ทำแล้วก็ลืมเลือน หรือมีบาปมากกว่า
การสอบสองขั้นนี้จะเป็นเกณฑ์คัดกรองวิญญาณที่สำนักท่านพระยายม
ดังนั้น "โลกนี้คือมหาวิทยาลัยวิวัฒนาการ" ทุกชีวิตในโลกคือนักศึกษา ที่ต้องสอบให้ผ่าน ดังนั้นเรียนให้เลื่อนชั้นนะ อย่าเรียนให้ร่วงชั้น สอบตก
แล้วทุกคนต้องผ่านสำนักพระยายมไหม
คำตอบคือ ไม่
ใครบ้างที่ไม่ต้องผ่านสำนักพระยายม คือ ผู้ที่ qualified ที่จะขึ้นสวรรค์ได้อัตโนมัติเลย และผู้ที่ qualified ที่จะลงอบายได้เลยอัตโนมัติ
ผู้ที่มีบุญใหญ่ ขึ้นสวรรค์หรือพรหมได้เลย ได้แก่
1. พระอริยะทุกระดับ
2. ผู้ทรงฌาน
3. ผู้มีอัปปมัญญาเป็นปกติ
4. ผู้ที่เบื้องบนมารับ
5. ผู้ที่ทำความดีมหาศาล สงเคราะห์มหาชนมหาศาล
6. ผู้ที่ทำบุญใหญ่ระดับคุรุกรรม เช่น สร้างพระเจดีย์สี่ สร้างพระคัมภีร์แห่งสัจธรรม
7. ผู้ใช้ชีวิตแบบสัมมาหมดจดเป็นมาตรฐานเสมอ (ดูสัมมัตตะสิบ)
8. ผู้ที่ตายด้วยจิตเป็นสุขผ่องใส
9. ผู้ที่ตายด้วยจิตนอบน้อมเลื่อมใสยิ่งในพระพุทธเจ้าโดยไม่มีบาปต่อพระองค์
10. ผู้ที่ตายด้วยวิปัสสนาญาณ และการปล่อยวางเบ็ดเสร็จ
11. ผู้ที่บรรลุธรรมขณะตาย
นี่คือคุรุบุญ ที่ตายแล้วลอยสู่สุคติสุคโตทันที อัตโนมัติ
ผู้ที่มีบาปหนัก ลงอบายได้เลย ได้แก่
1. ผู้ที่ฆ่ามารดา หรือฆ่าบิดา
2. ผู้ที่ฆ่าพระอรหันต์ หรือผู้ทรงฌาน
3. ผู้ที่ทำพระพุทธองค์ให้ห้อพระโลหิต (ฟกช้ำ)
4. ผู้ที่ทำให้หมู่คณะแตกแยก
5. มหาโจรปล้นฆ่า หรือสร้างสงคราม
6. มหาโจรล่าบริวารหลอกเพื่อลาภ หรือทำการงานหลอกเพื่อลาภ
7. มหาโจรเอาธรรมปัญญาของผู้อื่นมาอ้างเป็นของตน หรือเอาอธรรมยัดให้ผู้อื่น
8. มหาโจรกล่าวหาว่าร้ายบ่อนทำลายผู้บริสุทธิ์ หรือตัดสินลงโทษผู้บริสุทธิ์
9. มหาโจรโกงของสงฆ์เพื่อตนหรือเพื่อคนอื่น หรือฉ้อคอรัปชั่นส่วนรวม
10. มหาโจรอวดอุตริมนุสธรรม หรืออวดอ้างคุณความดีที่ไม่มีจริงในตน
11. ผู้ใช้ชีวิตแบบมิจฉาเป็นอาจิณไม่ยอมเปลี่ยน (ตรงข้ามสัมมัตตะสิบ)
นี่คือคุรุบาป ที่ตายแล้วลงอบายทันที อัตโนมัติ
จะเห็นได้ว่า ที่พวกเราบริหารธุรกิจบริหารการเมืองได้เป็นเรื่องเล็ก เพราะให้ผลระยะสั้นมาก บริหารภูมิและ transition ที่ดีได้เป็นเรื่องใหญ่สำคัญกว่ามาก เพราะให้ผลต่อเนื่องยาวนานจนถึงนิรันดร
ดังนั้น วางแผน transition การเปลี่ยนภูมิทั้งของตน ของพ่อแม่ และคนในครอบครัวกันให้ดี ฝึกกันให้ชำนาญ จึงจะชื่อว่าเป็นผู้บริหารที่มีความสามารถแท้จริง
เตรียมตัวอย่างไร
1. ศึกษาสัจธรรม วิวัฒนาการจิตใจให้สูงส่งขึ้นอย่างต่อเนื่อง อย่างไม่ประมาท อย่าตกต่ำ อย่าหลงโลก อย่าหลงอารมณ์ (ตัวเสพโลก) อย่าประมาท
2. สร้างคุณความดียิ่งใหญ่ชนิดติดจิตใจไปตลอดกาล (ดูมงคลแห่งชีวิตเป็นคู่มือ) ไม่เอาตามพิธีกรรมที่ลืมเลือนเร็ว อย่าทำบาปแม้เล็กน้อย หากพลั้งเผลอบ้างก็แก้ไข และก้าวล่วงทันที อย่าให้ติดนิสัย
3. ซ้อมตายแบบปล่อยวาง เป็นสุข น้อมสู่ความบริสุทธิ์เนือง ๆ เพราะจุดนี้คือจุดเปลี่ยนสำคัญ หากตั้งจิตดีก็ไปสูง หากตั้งจิตไม่ดีก็ไปต่ำ อย่ามัวแต่ซ้อมคิดวิเคราะห์สังเคราะห์ หรือซ้อมพูด ซ้อมโชว์ ซ้อมสอนลูกหลาน ซ้อมกีฬา ซ้อมงาน ซ้อมลงทุน ซ้อมภาพลักษณ์ เพราะนั่นเป็นเรื่องเล็กฉาบฉวยให้ผลน้อยระยะสั้น ส่วนซ้อมตายทั้งสำคัญ ทั้งจำเป็น และให้ผลยาวนานกว่าซ้อมอื่น ๆ ทั้งหมดนั้น ดังนั้น ควรซ้อมตายอย่างไปสูงหมดจดทุกคืนจนเชี่ยวชาญ พร้อมตายและไปดีทุกนาที