ใส่บาตรและเพ่งโทษภิกษุ สั่งสมบุญหรือบาป
"พระพุทธเจ้าข้า เพราะข้าพระพุทธเจ้าโกรธ ไม่พอใจ เพ่งจะหาโทษให้ ได้บรรจุบาตรของภิกษุทั้งหลายพลางกล่าวว่า ท่านทั้งหลายจะฉันก็ได้ นำไปก็ได้ ข้าพระพุทธเจ้าสร้างสมอะไรไว้มากหนอ บุญหรือบาป พระพุทธเจ้าข้า"
ครั้งนั้น พระผู้มีพระภาคประทับอยู่ในพระนครพาราณสีตามพระพุทธาภิรมณ์ แล้วเสด็จพระพุทธดำเนินมุ่งไปทางอันธกวินทะชนบท พร้อมด้วยภิกษุสงฆ์หมู่ใหญ่ประมาณ ๑,๒๕๐ รูป มหาอำมาตย์คนหนึ่งผู้เริ่มเลื่อมใส ได้นิมนต์ภิกษุสงฆ์มีพระพุทธเจ้าเป็นประมุขเพื่อฉันในวันรุ่งขึ้นและได้มีความคิดว่า
"ถ้ากระไร เราพึงตกแต่งสำหรับมังสะ ๑,๒๕๐ ที่ เพื่อภิกษุ ๑,๒๕๐ รูป น้อมเข้าไปถวายภิกษุรูปละ ๑ สำรับ"
แล้วสั่งให้ตกแต่งขาทนียโภชนียาหารอันประณีตและสำรับมังสะ ๑,๒๕๐ ที่ โดยผ่านราตรีนั้น แล้วสั่งให้เจ้าพนักงานไปกราบทูลภัตกาลแด่พระผู้มีพระภาคว่า
"ถึงเวลาแล้ว พระพุทธเจ้าข้า ภัตตาหารสำเร็จแล้ว"
ครั้นเวลาเช้า พระผู้มีพระภาคทรงครองอันตรวาสกแล้ว ถือบาตรจีวรเสด็จพระพุทธดำเนินสู่นิเวศน์ของมหาอำมาตย์ผู้เริ่มเลื่อมใสนั้นแล้ว ประทับนั่งเหนือพระพุทธอาสน์ที่เขาจัดถวายพร้อมด้วยพระสงฆ์ มหาอำมาตย์ผู้เริ่มเลื่อมใสนั้นจึงอังคาสภิกษุทั้งหลายอยู่ในโรงอาหาร
ภิกษุทั้งหลายพูดอย่างนี้ว่า
"จงถวายแต่น้อยเถิดท่าน จงถวายแต่น้อยเถิดท่าน"
ท่านมหาอำมาตย์กราบเรียนว่า
"ท่านเจ้าข้า ขอท่านทั้งหลายอย่ารับแต่น้อย ๆ ด้วยคิดว่า นี่เป็นมหาอำมาตย์ที่เริ่มเลื่อมใส กระผมตกแต่งขาทนียโภชนียาหารไว้มาก กับสำรับมังสะ ๑,๒๕๐ ที่ จักน้อมเข้าไปถวายภิกษุรูปละ ๑ สำรับ ขอท่านทั้งหลายกรุณารับให้พอแก่ความต้องการเถิดเจ้าข้า"
ภิกษุทั้งหลายกล่าวว่า
"ท่าน พวกอาตมภาพรับแต่น้อย ๆ มิใช่เพราะเหตุนั้นเลย แต่เพราะพวกอาตมภาพได้รับอังคาสด้วยยาคูที่แข้น และขนมปรุงด้วยน้ำหวานแต่เช้า ฉะนั้น พวกอาตมภาพจึงขอรับแต่น้อย ๆ"
ทันใดนั้น มหาอำมาตย์ผู้เริ่มเลื่อมใสนั้นจึงเพ่งโทษ ติเตียน โพนทะนาว่า
"ไฉนพระคุณเจ้าทั้งหลายอันกระผมนิมนต์แล้วจึงได้ฉันยาคูที่แข้นของผู้อื่นเล่า กระผมไม่สามารถจะถวายให้พอแก่ความต้องการหรือ"
แล้วโกรธไม่พอใจ เพ่งจะหาโทษให้ ได้บรรจุบาตรของภิกษุทั้งหลายเต็ม พลางกล่าวว่า
"ท่านทั้งหลายจะฉันก็ได้ นำไปก็ได้"
ครั้นแล้ว อังคาสภิกษุสงฆ์มีพระพุทธเจ้าเป็นประมุขด้วยขาทนียโภชนียาหารอันประณีตด้วยมือของตน จนยังพระผู้มีพระภาคผู้เสวยเสร็จแล้ว นำพระหัตถ์ออกจากบาตรให้ห้ามภัตรแล้ว นั่งเฝ้าอยู่ ณ ที่ควรส่วนข้างหนึ่ง
พระผู้มีพระภาคทรงชี้แจงแก่มหาอำมาตย์ผู้เริ่มเลื่อมใสนั้นให้เห็นแจ้ง สมาทาน อาจหาญ ร่าเริง ด้วยธรรมีกถาแล้ว ทรงลุกจากที่ประทับ เสด็จกลับ เมื่อพระผู้มีพระภาคเสด็จกลับไม่ทันนาน มหาอำมาตย์ผู้เริ่มเลื่อมใสนั้นได้บังเกิดความรำคาญและความเดือดร้อนว่า
"มิใช่ลาภของเราหนอ ลาภของเราไม่มีหนอ เราได้ชั่วแล้วหนอ เราไม่ได้ดีแล้วหนอ เพราะเราโกรธ ไม่พอใจ เพ่งจะหาโทษให้ ได้บรรจุบาตรของภิกษุทั้งหลายเต็ม พลางกล่าวว่า ท่านทั้งหลายจะฉันก็ได้ นำไปก็ได้ เราสร้างสมอะไรมากหนอ บุญหรือบาป"
ครั้นแล้ว เข้าไปเฝ้าพระผู้มีพระภาคถวายบังคมนั่งอยู่ ณ ที่ควรส่วนข้างหนึ่ง จึงกราบทูลว่า
"พระพุทธเจ้าข้า เมื่อพระผู้มีพระภาคเสด็จกลับไม่ทันนาน ความรำคาญและความเดือดร้อนได้บังเกิดแก่ข้าพระพุทธเจ้า ณ ที่นั้นว่า มิใช่ลาภของข้าพระพุทธเจ้าหนอ ลาภของข้าพระพุทธเจ้า ไม่มีหนอ ข้าพระพุทธเจ้าได้ชั่วแล้วหนอ ข้าพระพุทธเจ้าไม่ได้ดีแล้วหนอ เพราะข้าพระพุทธเจ้าโกรธ ไม่พอใจ เพ่งจะหาโทษให้ ได้บรรจุบาตรของภิกษุทั้งหลายเต็มพลางกล่าวว่า ท่านทั้งหลาย จะฉันก็ได้ นำไปก็ได้ ข้าพระพุทธเจ้าสร้างสมอะไรไว้มากหนอ บุญหรือบาป ดังนี้
อะไรกันแน่ที่ข้าพระพุทธเจ้าสร้างสมมาก บุญหรือบาป พระพุทธเจ้าข้า"
พระผู้มีพระภาคตรัสตอบว่า
"อาวุโส ท่านนิมนต์ภิกษุสงฆ์มีพระพุทธเจ้าเป็นประมุขเพื่อเจริญบุญกุศลและปิติปราโมทย์ในวันนี้ด้วยทานอันเลิศใด ท่านชื่อว่าสร้างสมบุญไว้มากเพราะทานอันเลิศนั้น
เมล็ดข้าวสุกเมล็ดหนึ่งของท่าน อันภิกษุรูปหนึ่ง ผู้เลิศด้วยคุณสมบัติ รับไปแล้ว ท่านชื่อว่าสร้างสมบุญไว้มากเพราะภิกษุผู้เลิศด้วยคุณสมบัตินั้น สวรรค์เป็นอันท่านปรารภไว้แล้ว"
ลำดับนั้น มหาอำมาตย์ผู้เริ่มเลื่อมใสนั้น ได้ทราบว่าเป็นลาภของตน ตนได้ดีแล้ว สวรรค์อันตนปรารภไว้แล้ว ก็ร่าเริง ดีใจลุกจากที่นั่งถวายบังคมพระผู้มีพระภาค ทำประทักษิณ แล้วกลับไป