จะรู้ได้อย่างไรว่าใครจะไปอยู่ภูมิไหน
ท่านอาจารย์คะ เราจะรู้สุขภาพภูมิได้อย่างไรคะ ว่าใครจะไปภูมิไหน
1) ดูที่ตัวใน 2) ดูที่สภาวะจิต 3) ดูที่กรรม 4) ดูที่ภูมิธรรม 5) เช็คระบบ
ดูที่ตัวใน
ใครอยู่ภูมิไหน ถ้าตาย ณ ขณะนี้จะไปไหน กายในเขาบอกอยู่ตลอดเวลา เช่น คนที่เป็นมนุสสพรัมโม อาทิสมานกายจะเป็นพรหมเลย คนที่เป็นมนุสสเทโว อาทิสมานกายจะเป็นเทวดาเลย คนที่เป็นมนุสสภูโต อาทิสมานกายจะเป็นมนุษย์ดังเดิมเลย คนที่เป็นมนุสสเดรัจฉานโน อาทิสมานกายจะเป็นหมี หมา ช้าง ลิง สิงห์ แมลง หรือสัตว์นั้น ๆ เลย คนที่เป็นมนุสสเปโต อาทิสมานกายจะเป็นเปรตอาการต่างๆ เลย คนที่เป็นมนุสสเนรยิโก อาทิสมานกายจะเป็นสัตว์นรกต่าง ๆ เลย ความเป็นจริงปรากฏอยู่ตลอดเวลา และเถียงไม่ได้ เพราะตัวในของเขาแสดงตนอยู่ตลอดเวลา
ดูที่สภาวะจิต
ภพภูมิทั้งหมดในจักรวาล จัดตามระดับสภาวะจิต
พรหม คือ ภูมิของผู้มีสมาธิมั่นเป็นปกติ
ดังนั้น จิตใครเป็นสมาธิ มั่นในฌาน มั่นในอัปปมัญญา พวกนี้เป็นมนุสสพรัมโม
ส่วนคนไม่มีสมาธิจะเข้าสู่ภูมินี้ไม่ได้
เทวดา คือ ภูมิของผู้มีสมาธิพอประมาณ และนิยมในการบุญบารมีเป็นปกติ
ดังนั้น จิตใครมีสมาธิพอประมาณ และนิยมในการบุญบารมี พวกนี้เป็นมนุสสเทโว
ส่วนคนไม่มีสมาธิพอประมาณ ไม่ทำบุญ ไม่บำเพ็ญบารมี จะขึ้นสวรรค์ไม่ได้
บุญ คือ ทาน ศีล ภาวนา ขวนขวายในกิจส่วนรวม อ่อนโยน ฟังธรรม แสดงธรรม อุทิศบุญ อนุโมทนาบุญ ปรับความเห็นให้ตรงสัจจะ
บารมี คือ อุทิศชีวิตเพื่อทาน ศีล เนกขัมมะ (อิสระจากกาม) ปัญญา วิริยะ ขันติ สัจจะ อธิษฐาน เมตตา อุเบกขา
มนุษย์ คือ ภูมิของผู้มีสติดี ความเพียรดี แกล้วกล้าดี
ดังนั้น ใครครองสติดี มีความเพียรดี แกล้วกล้าดี ก็มีโอกาสมาเกิดเป็นมนุษย์สูง
ส่วนคนเสียสติ (ปล่อยให้อารมณ์ครอบงำ) คนทำลายสติ (ดื่มของมึนเมา) คนสติหลุด (เลินเล่อในความคิดคำพูดการกระทำอันไม่ควร) คนสติไหล (ทำตามอำเภอใจ ไม่ประเมินผล ไม่ยับยั้งชั่งใจ) คนสติพร่อง (ประมาท ผิดศีล) เนือง ๆ จะกลับมาเป็นมนุษย์ไม่ได้
เปรต คือ ภูมิของผู้มีโลภมูลจิตเป็นตัวขับเคลื่อนชีวิต
ดังนั้น ใครดำเนินชีวิตกิจการงานด้วยความโลภเนืองนิตย์ จะต้องไปเป็นเปรต
ส่วนคนไม่โลภ รู้จักพอที่จุดพอเหมาะพอดี มีการเอื้อเฟื้อแบ่งปันอย่างจริงใจ แทบจะไม่มีโอกาสไปเป็นเปรต
เดรัจฉาน คือ ภูมิของผู้มีโมหะมูลจิตเป็นตัวขับเคลื่อนชีวิต
ดังนั้น ใครดำเนินชีวิตกิจการงานด้วยโมหะ หลงใหล หลงผิดเนืองนิตย์ จะต้องไปเป็นเดรัจฉาน
ส่วนคนอโมหะ จะคิด จะพูด จะทำ จะปฏิสัมพันธ์ จะสมาคมกับใคร ก็ประเมินผลต่อเนื่องรอบด้านด้วยสติสัมปชัญญะเสมอ แทบจะไม่มีโอกาสไปเป็นเดรัจฉาน
นรก คือ ภูมิของผู้มีโทสะมูลจิตเป็นตัวขับเคลื่อนชีวิต
ดังนั้น ใครดำเนินชีวิตกิจการงานด้วยความโกรธ เกลียด พยาบาทเนืองนิตย์ จะต้องไปเป็นสัตว์นรก
ส่วนคนอโทสะ จะคิด จะพูด จะทำ จะปฏิสัมพันธ์ จะสมาคมกับใคร ก็กอปรด้วยเมตตา กรุณา มุทิตา อุเบกขาเสมอ แทบจะไม่มีโอกาสไปเป็นสัตว์นรก
ใครมีภูมิจิตอย่างไร ก็จะไปอยู่ร่วมกับคนที่มีภูมิจิตอย่างนั้น เรียกว่าภพ
ดูที่กรรม
1. บุคคลใดทำความดีใหญ่ต่อพระพุทธเจ้าหรือพระรัตนตรัย จะขึ้นสวรรค์ก่อนอัตโนมัติ ยกเว้นทำบาปต่อพระพุทธเจ้าหรือพระรัตนตรัยด้วย จึงจะถูกส่งไปวินิจฉัยระดับเจตนาและผลต่อเนื่อง
2. บุคคลใดทำบาปใหญ่ต่อพระพุทธเจ้าหรือพระรัตนตรัย จะลงอบายก่อนอัตโนมัติ ยกเว้นทำความดีต่อพระพุทธเจ้าหรือพระรัตนตรัยด้วย จึงจะถูกส่งไปวินิจฉัยระดับเจตนาและผลต่อเนื่อง
3. บุคคลใดประพฤติกุศลกรรมบถได้เป็นปกติ จะขึ้นสวรรค์ก่อนอัตโนมัติ
4. บุคคลใดประพฤติอกุศลกรรมบถเป็นอาจิณ จะลงนรกก่อนอัตโนมัติ
5. บุคคลใดประพฤติทั้งกุศลกรรมบถและอกุศลกรรมบถเป็นประจำ จะถูกส่งไปวินิจฉัยระดับเจตนาและผลต่อเนื่อง
6. บุคคลใดประพฤติตนเป็นมหาโจร คือ ล่าบริวาร เอาของสงฆ์ (ส่วนรวม) ให้บุคคลอื่น ยกธรรมและปัญญาผู้อื่นเป็นของตน (สอนโดยไม่อ้างอิง) อวดอุตตริมนุสสธรรม จะลงนรกก่อนอัตโนมัติ
7. บุคคลใดประกอบอนันตริยกรรม ฆ่าบิดา ฆ่ามารดา ฆ่าพระอรหันต์ ทำพระพุทธเจ้าให้ห้อพระโลหิต (เจ็บปวด) ทำสงฆ์ (สังคม) ให้แตกแยก จะลงนรกก่อนอัตโนมัติ
8. บุคคลใดสงเคราะห์โลก สงเคราะห์มหาชนมหาศาลอย่างสะอาด จะขึ้นสวรรค์ก่อนอัตโนมัติ
9. บุคคลใดเจริญ ศีล สมถะ วิปัสสนา วิราคะ เป็นประจำและได้ผลก้าวหน้าพอควร จะขึ้นสวรรค์ก่อนอัตโนมัติ
ดูที่ภูมิธรรม
1. บุคคลใดบรรลุโสดาบันแล้ว ย่อมไม่ลงอบายแน่นอน และจะบรรลุธรรมในอีกไม่เกินเจ็ดชาติ
2. บุคคลใดบรรลุสกทาคามีแล้ว ย่อมไม่ลงอบายแน่นอน และจะบรรลุธรรมในการเกิดอีกชาติเดียว
3. บุคคลใดบรรลุอนาคามีแล้ว ย่อมไม่ลงอบายแน่นอน และจะบรรลุธรรมในสุทธาวาสพรหม ไม่กลับมาสู่โลกนี้อีก
4. บุคคลใดบรรลุอรหันต์แล้ว ย่อมไม่ลงอบายแน่นอน ละขันธ์แล้วย่อมตรงสู่พระนิพพานอันบรมสุข บรมว่าง อมตะ บริสุทธิ์ ปราศจากกิเลส ตัณหา อวิชชา ทุกข์ใด ๆ แม้น้อยนิด
เช็คระบบ
หากไม่สามารถรู้เห็นได้ด้วยตนเองก็เช็คในระบบได้ ทันทีที่มีใครทำความดี ทำความชั่ว หรือบรรลุธรรม จะปรากฏในระบบทันที เช่น ตอนที่พระพุทธองค์ประกาศธรรมจักร พระอัญญาโกญฑัญญะบรรลุธรรม ครบองค์รัตนตรัย พระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ เทวดาพรหมทั้งจักรวาลก็อนุโมทนาสาธุการแซ่ซ้องสรรเสริญไปทั่วจักรวาล ระบบก็บันทึกทั้งปรากฏการณ์และผล รวมทั้งปฏิกริยาต่อเนื่องทั้งหมดไว้ทันที
ระบบเป็นสากล เทพพรหมทั้งหมดสามารถดูย้อนหลังได้ด้วย
๑. อตีตังสญาณ = เห็นอดีต
๒. ปุพเพนิวาสานุสสติญาณ = การระลึกชาติ
๓. จุตูปปาตญาณ = เห็นกลไกกรรมของสัตว์โลกและของแต่ละคน
มนุษย์ผู้มีญาณอันผ่องใสในฌานอันหมดจดก็สามารถตรวจเช็คได้ แต่คุณอันนี้เป็นคุณวิเศษเฉพาะสภาวะ (ไม่ใช่เฉพาะคน) ควรใช้เพื่อการบริหารคนในรับผิดชอบเท่านั้น อย่าไปบริการกิเลสดูให้ใครนะ ฌานจะเสื่อม ญาณจะหายไป