ทุททุภายชาดก
ในอดีตกาล สมัยพระเจ้าพรหมทัตครองเมืองพาราณสี พระโพธิสัตว์บังเกิดเป็นราชสีห์ อาศัยอยู่ในป่า มีกระต่ายตัวหนึ่งอาศัยอยู่ใต้กอตาลกอหนึ่งใกล้โคนต้นมะตูม วันหนึ่ง กระต่ายนอนอยู่ใต้ใบตาล คิดว่าถ้าแผ่นดินนี้ถล่ม กระต่ายจะไปที่ไหน ขณะนั้นเอง ผลมะตูมสุกผลหนึ่ง หล่นลงบนใบตาลเสียงดัง กระต่ายนั้นคิดว่าแผ่นดินถล่ม จึงกระโดดหนีไปไม่เหลียวหลัง กระต่ายอีกตัวหนึ่งเห็นกระต่ายตัวนั้นกำลังรีบหนี จึงถามและวิ่งหนีตาม กระต่ายและสัตว์อื่น ๆ จำนวนมากต่างก็วิ่งหนีตามกระต่ายไปตาม ๆ กัน ด้วยเข้าใจว่าแผ่นดินถล่ม
พระโพธิสัตว์เห็นพวกสัตว์กำลังหนีอยู่ จึงถาม และเมื่อได้ฟังว่าวิ่งหนีกันเพราะคิดว่าแผ่นดินถล่ม ท่านคิดว่าแผ่นดินย่อมไม่ถล่ม สัตว์เหล่านั้นคงเห็นอะไรบางอย่าง ถ้าท่านไม่ช่วย สัตว์ทั้งปวงจักพินาศฉิบหาย ท่านจึงไปถามสัตว์ต่าง ๆ ว่าใครเห็นแผ่นดินถล่ม พวกสัตว์เหล่านั้นต่างตอบว่าไม่รู้ และบอกว่ากระต่ายตัวนั้นพูด กระต่ายจึงเล่าเหตุการณ์ให้ฟัง
พระโพธิสัตว์จึงนำกระต่ายไปที่ดงตาลเพื่อตรวจดูและได้เห็นว่ามีผลมะตูมหล่นเหนือใบตาล จึงได้บอกแก่สัตว์ทั้งหลาย หมู่สัตว์ทั้งหลายเบาใจแล้วกลับไป
เพราะอาศัยพระโพธิสัตว์ สัตว์ทั้งปวงจึงมีชีวิตเป็นอยู่
อภิสัมพุทธคาถา
กระต่ายได้ยินมะตูมสุกหล่นเสียงดังครึนก็วิ่งหนีไป หมู่เนื้อได้ฟังถ้อยคำของกระต่ายแล้วพากันตกใจ วิ่งหนีไปด้วย
คนเขลาเหล่านั้นยังไม่ทันถึงวิญญาณบท คือ ทางแห่งวิญญาณความรู้แจ้ง มักเชื่อตามเสียงผู้อื่น ถือการเล่าลือเป็นสำคัญ จึงเป็นผู้เชื่อต่อคนอื่น
ส่วนชนเหล่าใดสมบูรณ์ด้วยศีล ยินดีในความสงบระงับด้วยปัญญา ชนเหล่านั้นนับว่าเป็นปราชญ์ งดเว้นความชั่วให้ห่างไกล ย่อมไม่เชื่อต่อผู้อื่น
ด้วยเหตุนี้ พระศาสดาจึงทรงตรัสว่า
นรชนใดไม่เชื่อคุณอันตนรู้แล้วด้วยถ้อยคำของผู้อื่น รู้จักพระนิพพานอันปัจจัยอะไร ๆ ปรุงแต่งไม่ได้แล้ว และตัดที่ต่อคือวัฏสงสารขาดแล้ว กำจัดโอกาสคือภพได้แล้ว มีความหวังอันคายแล้ว นรชนนั้นแลชื่อว่า เป็นอุดมบุรุษ
อ่าน ทุททุภายชาดก