Main navigation

จูฬสาโรปมสูตร

ว่าด้วย
อุปมานักบวชกับผู้แสวงหาแก่นไม้
เหตุการณ์
พราหมณ์ชื่อปิงคลโกจฉะ เข้าไปเฝ้าพระผู้มีพระภาค กราบทูลถามเรื่องสมณพราหมณ์ที่มีชื่อเสียง ว่าท่านเหล่านั้นรู้ยิ่งตามปฏิญญาของตนหรือไม่ พระผู้มีพระภาคไม่ทรงตอบ ทรงตรัสแสดงธรรม อุปมานักบวชกับผู้แสวงหาแก่นไม้ เมื่อทรงแสดงธรรมจบ ปิงคลโกจฉพราหมณ์แสดงเป็นอุบาสก ถึงพระรัตนตรัยเป็นสรณะตลอดชีวิต

พระผู้มีพระภาคประทับอยู่ ณ พระวิหารเชตวัน พราหมณ์ชื่อปิงคลโกจฉะเข้าไปเฝ้าพระผู้มีพระภาค แล้วได้กราบทูลพระผู้มีพระภาคว่า

ปูรณกัสสป มักขลิโคสาล อชิตเกสกัมพล ปกุธกัจจายนะ สัญชัยเวลัฏฐบุตร นิครนถ์นาฏบุตร เป็นเจ้าหมู่ เจ้าคณะ เป็นคณาจารย์ มีชื่อเสียง มียศ เป็นเจ้าลัทธิ ชนเป็นอันมากสมมติว่าเป็นคนดี พวกนั้นทั้งหมด รู้ยิ่งตามปฏิญญาของตน ๆ หรือทุกคนไม่รู้ยิ่งเลย หรือว่าบางพวกรู้ยิ่ง บางพวกไม่รู้ยิ่ง

พระผู้มีพระภาคตรัสว่ ข้อที่ว่าพวกนั้นทั้งหมดรู้ยิ่งตามปฏิญญาของตน ๆ หรือทุกคนไม่รู้ยิ่งเลย หรือว่าบางพวกรู้ยิ่ง บางพวกไม่รู้ยิ่งนั้น จงงดไว้เถิด พระองค์จักทรงแสดงธรรม ขอปิงคลโกจฉพราหมณ์ฟังและใส่ใจให้ดี

พระผู้มีพระภาคตรัสอุปมาว่า

เปรียบเหมือนบุรุษผู้มีความต้องการแก่นไม้ แสวงหาแก่นไม้ เที่ยวเสาะหาแก่นไม้อยู่ เมื่อต้นไม้ใหญ่มีแก่นตั้งอยู่ ละเลยแก่น ละเลยกระพี้ ละเลยเปลือก ละเลยสะเก็ดไปเสีย ตัดเอากิ่งและใบถือไป สำคัญว่าแก่น ถากเอาสะเก็ดถือไป สำคัญว่าแก่น ถากเอาเปลือกถือไป สำคัญว่าแก่น ถากเอากระพี้ถือไป สำคัญว่าแก่น

บุรุษผู้มีจักษุเห็นแล้วพึงกล่าวอย่างนี้ว่าบุรุษนี้ ไม่รู้จักแก่น ไม่รู้จักกระพี้ ไม่รู้จักเปลือก ไม่รู้จักสะเก็ด ไม่รู้จักกิ่งและใบ บุรุษนี้ตัดเอากิ่งและใบถือไป ถากเอาสะเก็ดถือไป ถากเอาเปลือกถือไป ถากเอากระพี้ถือไป สำคัญว่าแก่น กิจที่จะพึงทำด้วยไม้แก่นของเขาจักไม่สำเร็จประโยชน์แก่เขา

ส่วนบุรุษผู้มีความต้องการแก่นไม้ แสวงหาแก่นไม้ เที่ยวเสาะหาแก่นไม้อยู่ เมื่อต้นไม้ใหญ่มีแก่นตั้งอยู่ ตัดเอาแก่นนั้นแหละถือไป รู้อยู่ว่าแก่น

บุรุษผู้มีจักษุเห็นเขาผู้นั้นแล้ว พึงกล่าวอย่างนี้ว่า บุรุษผู้นี้ รู้จักแก่น รู้จักกระพี้ รู้จักเปลือก รู้จักสะเก็ด รู้จักกิ่งและใบ บุรุษผู้นี้ตัดเอาแก่นถือไป รู้อยู่ว่าแก่น กิจที่จะพึงทำด้วยไม้แก่นของเขา จักสำเร็จประโยชน์แก่เขา

กุลบุตรบางคนในโลกนี้ มีศรัทธา ออกจากเรือนบวชเป็นบรรพชิตด้วยคิดว่า เราเป็นผู้อันชาติ ชรา มรณะ โสกะ ปริเทวะ ทุกข์ โทมนัส อุปายาส ท่วมทับแล้ว ถูกความทุกข์ท่วมทับแล้ว มีความทุกข์เป็นเบื้องหน้า ไฉนหนอ ความกระทำที่สุดแห่งกองทุกข์ทั้งมวลนี้จะพึงปรากฏ

เขาบวชแล้ว ยังลาภ สักการะ และความสรรเสริญให้บังเกิดขึ้น เขามีความยินดี มีความดำริเต็มเปี่ยม ด้วยลาภ สักการะ และความสรรเสริญนั้น

เพราะลาภ สักการะ และความสรรเสริญอันนั้น เขายกตน ข่มผู้อื่นว่า เรามีลาภ สักการะ และความสรรเสริญ ส่วนภิกษุอื่นนอกนี้ ไม่ปรากฏ [หรือมีคนรู้จักน้อย] มีศักดาน้อย

เขาไม่ยังฉันทะให้เกิด ไม่พยายาม เพื่อทำให้แจ้งซึ่งธรรมเหล่าอื่นอันยิ่งกว่าและประณีตกว่าลาภ สักการะ และความสรรเสริญนั้น ทั้งเป็นผู้มีความประพฤติย่อหย่อน ท้อถอย

เปรียบเหมือนบุรุษที่มีความต้องการแก่นไม้ เมื่อต้นไม้ใหญ่มีแก่นตั้งอยู่ ตัดเอากิ่งและใบถือไป สำคัญว่าแก่น กิจที่จะพึงทำด้วยไม้แก่นของเขา จักไม่สำเร็จประโยชน์แก่เขา ฉันใด ทรงเรียกบุคคลนี้ว่า มีอุปมาฉันนั้น

กุลบุตรบางคนในโลกนี้ มีศรัทธา ออกจากเรือนบวชเป็นบรรพชิต ฯลฯ

เขาบวชอย่างนี้แล้ว ยังลาภ สักการะ และความสรรเสริญให้บังเกิดขึ้น เขาไม่มีความยินดี มีความดำริยังไม่เต็มเปี่ยม ด้วยลาภ สักการะ และความสรรเสริญนั้น เขาไม่ยกตน ไม่ข่มผู้อื่น เพราะลาภ สักการะ และความสรรเสริญนั้น

เขายังฉันทะให้เกิด พยายามเพื่อทำให้แจ้งซึ่งธรรมเหล่าอื่นอันยิ่งกว่า และประณีตกว่าลาภ สักการะ และความสรรเสริญ ทั้งเป็นผู้มีความประพฤติไม่ย่อหย่อน ไม่ท้อถอย เขาย่อมยังความถึงพร้อมแห่งศีลให้สำเร็จ เขามีความยินดี มีความดำริเต็มเปี่ยมแล้วด้วยความถึงพร้อมแห่งศีลนั้น

เพราะความถึงพร้อมแห่งศีลอันนั้น เขายกตน ข่มผู้อื่นว่า เรามีศีล มีกัลยาณธรรม ส่วนภิกษุอื่นนอกนี้เป็นผู้ทุศีล มีบาปธรรม เขาไม่ยังฉันทะให้เกิด ไม่พยายามเพื่อทำให้แจ้งซึ่งธรรมเหล่าอื่นอันยิ่งกว่า และประณีตกว่าความถึงพร้อมแห่งศีลนั้น ทั้งเป็นผู้มีความประพฤติย่อหย่อน ท้อถอย

เปรียบเหมือนบุรุษที่มีความต้องการแก่นไม้ เมื่อต้นไม้ใหญ่มีแก่นตั้งอยู่ ถากเอาสะเก็ดถือไปสำคัญว่าแก่น และกิจที่จะพึงทำด้วยไม้แก่นของเขา จักไม่สำเร็จประโยชน์แก่เขา ฉันใด ทรงเรียกบุคคลนี้ว่า มีอุปมาฉันนั้น

กุลบุตรบางคนในโลกนี้ มีศรัทธา ออกจากเรือนบวชเป็นบรรพชิต ฯลฯ

เขาบวชอย่างนั้นแล้ว ยังลาภ สักการะ และความสรรเสริญให้บังเกิดขึ้น เขาไม่มีความยินดี มีความดำริยังไม่เต็มเปี่ยม ด้วยลาภ สักการะ และความสรรเสริญนั้น ไม่ยกตน ไม่ข่มผู้อื่น เพราะลาภ สักการะ และความสรรเสริญอันนั้น

เขายังฉันทะให้เกิด พยายามเพื่อทำให้แจ้งซึ่งธรรมเหล่าอื่นอันยิ่งกว่า และประณีตกว่าลาภ สักการะ และความสรรเสริญนั้น ทั้งเป็นผู้มีความประพฤติไม่ย่อหย่อน ไม่ท้อถอย เขาย่อมยังความถึงพร้อมแห่งศีลให้สำเร็จ

เขามีความยินดีด้วยความถึงพร้อมแห่งศีลนั้น แต่มีความดำริยังไม่เต็มเปี่ยม เขาไม่ยกตน ไม่ข่มผู้อื่นเพราะความถึงพร้อมแห่งศีลอันนั้น

เขายังฉันทะให้เกิด พยายามเพื่อทำให้แจ้งซึ่งธรรมเหล่าอื่นอันยิ่งกว่า และประณีตกว่าความถึงพร้อมแห่งศีลนั้น ทั้งเป็นผู้มีความประพฤติไม่ย่อหย่อน ไม่ท้อถอย เขาย่อมยังความถึงพร้อมแห่งสมาธิให้สำเร็จ เขามีความยินดี มีความดำริเต็มเปี่ยม ด้วยความถึงพร้อมแห่งสมาธินั้น

เพราะความถึงพร้อมแห่งสมาธิอันนั้น เขายกตน ข่มผู้อื่นว่า เรามีจิตตั้งมั่น มีจิตมีอารมณ์เป็นอันเดียว ส่วนภิกษุอื่นนอกนี้ มีจิตไม่ตั้งมั่น มีจิตหมุนไปผิดแล้ว

เขาไม่ยังฉันทะให้เกิด ไม่พยายามเพื่อทำให้แจ้งซึ่งธรรมเหล่าอื่นอันยิ่งกว่า และประณีตกว่าความถึงพร้อมแห่งสมาธินั้น ทั้งเป็นผู้ประพฤติย่อหย่อน ท้อถอย

เปรียบเหมือนบุรุษนั้นที่มีความต้องการแก่นไม้ เมื่อต้นไม้ใหญ่มีแก่นตั้งอยู่ ละเลยแก่น ละเลยกะพี้ไปเสีย ถากเอาเปลือกถือไป สำคัญว่าแก่น กิจที่จะพึงทำด้วยไม้แก่นของเขา จักไม่สำเร็จประโยชน์แก่เขาฉันใด ทรงเรียกบุคคลนี้ว่า มีอุปมาฉันนั้น

กุลบุตรบางคนในโลกนี้ มีศรัทธา ออกจากเรือนบวชเป็นบรรพชิต ฯลฯ

เขาบวชอย่างนั้นแล้ว ยังลาภ สักการะ และความสรรเสริญให้บังเกิดขึ้น เขาไม่มีความยินดี มีความดำริยังไม่เต็มเปี่ยม ด้วยลาภ สักการะ และความสรรเสริญนั้น เขาไม่ยกตน ไม่ข่มผู้อื่น เพราะลาภ สักการะ และความสรรเสริญนั้น

เขายังฉันทะให้เกิด พยายามเพื่อทำให้แจ้งซึ่งธรรมเหล่าอื่นอันยิ่งกว่า และประณีตกว่า ลาภ สักการะ และความสรรเสริญนั้น ทั้งเป็นผู้มีความประพฤติไม่ย่อหย่อน ไม่ท้อถอย เขาย่อมยังความถึงพร้อมแห่งศีลให้สำเร็จ เขามีความยินดี ด้วยความถึงพร้อมแห่งศีลนั้น แต่มีความดำริยังไม่เต็มเปี่ยม เขาไม่ยกตน ไม่ข่มผู้อื่น เพราะความถึงพร้อมแห่งศีลอันนั้น

เขายังฉันทะให้เกิด พยายามเพื่อทำให้แจ้งซึ่งธรรมเหล่าอื่นอันยิ่งกว่า และประณีตกว่า ความถึงพร้อมแห่งศีลนั้น ทั้งเป็นผู้มีความประพฤติไม่ย่อหย่อน ไม่ท้อถอย เขาย่อมยังความถึงพร้อมแห่งสมาธิให้สำเร็จ

เขามีความยินดี ด้วยความถึงพร้อมแห่งสมาธินั้น แต่มีความดำริยังไม่เต็มเปี่ยม เขาไม่ยกตน ไม่ข่มผู้อื่น เพราะความถึงพร้อมแห่งสมาธินั้น

เขายังฉันทะให้เกิด พยายามเพื่อทำให้แจ้งซึ่งธรรมเหล่าอื่นอันยิ่งกว่า และประณีตกว่าความถึงพร้อมแห่งสมาธินั้น ทั้งเป็นผู้มีความประพฤติไม่ย่อหย่อน ไม่ท้อถอย เขาย่อมยังญาณทัสสนะให้สำเร็จ
เขามีความยินดี มีความดำริเต็มเปี่ยมด้วยญาณทัสสนะอันนั้น

เพราะญาณทัสสนะนั้น เขายกตน ข่มผู้อื่นว่า เรารู้ เราเห็น ส่วนภิกษุอื่นนอกนี้ ไม่รู้ไม่เห็นอยู่ เขาไม่ยังฉันทะให้เกิด ไม่พยายามเพื่อทำให้แจ้งซึ่งธรรมเหล่าอื่นอันยิ่งกว่า และประณีตกว่าญาณทัสสนะนั้น ทั้งเป็นผู้มีความประพฤติย่อหย่อน ท้อถอย

เปรียบเหมือนบุรุษที่มีความต้องการแก่นไม้ เมื่อต้นไม้ใหญ่มีแก่นตั้งอยู่ ละเลยแก่นไปเสีย ถากเอากะพี้ถือไป สำคัญว่าแก่น กิจที่จะพึงทำด้วยไม้แก่นของเขา จักไม่สำเร็จประโยชน์แก่เขา ฉันใด ทรงเรียกบุคคลนี้ว่า มีอุปมาฉันนั้น

กุลบุตรบางคนในโลกนี้ มีศรัทธา ออกจากเรือนบวชเป็นบรรพชิต ฯลฯ

เขาบวชอย่างนั้นแล้ว ยังลาภ สักการะ และความสรรเสริญให้เกิดขึ้น เขาไม่มีความยินดี มีความดำริยังไม่เต็มเปี่ยม ด้วยลาภ สักการะ และความสรรเสริญนั้น เขาไม่ยกตน ไม่ข่มผู้อื่น เพราะลาภ สักการะ และความสรรเสริญอันนั้น

เขายังฉันทะให้เกิด พยายามเพื่อทำให้แจ้งซึ่งธรรมเหล่าอื่นอันยิ่งกว่า และประณีตกว่า ลาภ สักการะ และความสรรเสริญนั้น ทั้งเป็นผู้มีความประพฤติไม่ย่อหย่อน ไม่ท้อถอย เขาย่อมยังความถึงพร้อมแห่งศีลให้สำเร็จ เขามีความยินดี ด้วยความถึงพร้อมแห่งศีลนั้น แต่มีความดำริยังไม่เต็มเปี่ยม เขาไม่ยกตน ไม่ข่มผู้อื่น เพราะความถึงพร้อมแห่งศีลอันนั้น

เขายังฉันทะให้เกิด พยายามเพื่อทำให้แจ้งซึ่งธรรมเหล่าอื่นอันยิ่งกว่า และประณีตกว่าความถึงพร้อมแห่งศีลนั้น ทั้งเป็นผู้มีความประพฤติไม่ย่อหย่อน ไม่ท้อถอย เขายังความถึงพร้อมแห่งสมาธิให้สำเร็จ เขามีความยินดีด้วยความถึงพร้อมแห่งสมาธินั้น แต่มีความดำริยังไม่เต็มเปี่ยม เขาไม่ยกตน ไม่ข่มผู้อื่น เพราะความถึงพร้อมแห่งสมาธิอันนั้น

เขายังฉันทะให้เกิด พยายามเพื่อทำให้แจ้งธรรมเหล่าอื่นอันยิ่งกว่า และประณีตกว่าความถึงพร้อมแห่งสมาธินั้น ทั้งเป็นผู้มีความประพฤติไม่ย่อหย่อน ไม่ท้อถอย เขายังญาณทัสสนะให้สำเร็จ เขามีความยินดีด้วยญาณทัสสนะนั้น แต่มีความดำริยังไม่เต็มเปี่ยม เขาไม่ยกตน ไม่ข่มผู้อื่น เพราะญาณทัสสนะอันนั้น

เขายังฉันทะให้เกิด พยายามเพื่อทำให้แจ้งซึ่งธรรมเหล่าอื่นยิ่งกว่า และประณีตกว่าญาณทัสสนะนั้น ทั้งเป็นผู้มีความประพฤติไม่ย่อหย่อน ไม่ท้อถอย

แล้วตรัสต่อไปว่า

ธรรมที่ยิ่งกว่าและประณีตกว่าญาณทัสสนะเป็นไฉน

ภิกษุในพระศาสนานี้ สงัดจากกาม สงัดจากอกุศลธรรม บรรลุปฐมฌาน มีวิตก มีวิจาร มีปีติและสุขเกิดแต่วิเวกอยู่ แม้ธรรมข้อนี้ก็ยิ่งกว่า และประณีตกว่าญาณทัสสนะ

ภิกษุบรรลุทุติยฌาน มีความผ่องใสแห่งจิตในภายใน เป็นธรรมเอกผุดขึ้น เพราะวิตกวิจารสงบไป ไม่มีวิตก ไม่มีวิจาร มีปีติและสุขอันเกิดแต่วิเวกอยู่ แม้ธรรมข้อนี้ ก็ยิ่งกว่า และประณีตกว่าญาณทัสสนะ

ภิกษุมีอุเบกขา มีสติสัมปชัญญะ เสวยสุขด้วยนามกาย เพราะปีติสิ้นไป บรรลุตติยฌานที่พระอริยะทั้งหลายสรรเสริญว่า ผู้ได้ฌานนี้เป็นผู้มีอุเบกขา มีสติอยู่เป็นสุข แม้ธรรมข้อนี้ ก็ยิ่งกว่า และประณีตกว่าญาณทัสสนะ

ภิกษุบรรลุจตุตถฌานไม่มีทุกข์ ไม่มีสุข เพราะละสุข ละทุกข์ และดับโสมนัสก่อนๆได้ มีอุเบกขาเป็นเหตุให้สติบริสุทธิ์อยู่ แม้ธรรมข้อนี้ ก็ยิ่งกว่า และประณีตกว่าญาณทัสสนะ

เพราะล่วงเสียซึ่งรูปสัญญาโดยประการทั้งปวง เพราะปฏิฆสัญญาดับไป เพราะไม่ใส่ใจซึ่งนานัตตสัญญา ภิกษุย่อมบรรลุอากาสานัญจายตนฌาน ด้วยพิจารณาว่าอากาศหาที่สุดมิได้ แม้ธรรมข้อนี้ ก็ยิ่งกว่า และประณีตกว่าญาณทัสสนะ

เพราะล่วงเสียซึ่งอากาสานัญจายตนฌานโดยประการทั้งปวง ภิกษุย่อมบรรลุวิญญาณัญจายตนฌาน ด้วยพิจารณาว่า วิญญาณหาที่สุดมิได้ แม้ธรรมข้อนี้ ก็ยิ่งกว่า และประณีตกว่าญาณทัสสนะ

เพราะล่วงเสียซึ่งวิญญาณัญจายตนฌานโดยประการทั้งปวง ภิกษุย่อมบรรลุอากิญจัญญายตนฌาน ด้วยพิจารณาว่า น้อยหนึ่งไม่มี แม้ธรรมข้อนี้ ก็ยิ่งกว่า และประณีตกว่าญาณทัสสนะ

เพราะล่วงเสียซึ่งอากิญจัญญายตนฌานโดยประการทั้งปวง ภิกษุย่อมบรรลุเนวสัญญานาสัญญายตนฌาน แม้ธรรมข้อนี้ ก็ยิ่งกว่า และประณีตกว่าญาณทัสสนะ

เพราะล่วงเสียซึ่งเนวสัญญานาสัญญายตนฌานโดยประการทั้งปวง ภิกษุย่อมบรรลุสัญญาเวทยิตนิโรธ เพราะเห็นด้วยปัญญาของเธอ อาสวะทั้งหลายย่อมสิ้นไป แม้ธรรมข้อนี้ ก็ยิ่งกว่า และประณีตกว่าญาณทัสสนะ

ธรรมเหล่านี้แล ที่ยิ่งกว่า และประณีตกว่าญาณทัสสนะ

เปรียบเหมือนบุรุษคนนั้นที่มีความต้องการแก่น แสวงหาแก่น เที่ยวเสาะหาแก่นอยู่ เมื่อต้นไม้ใหญ่มีแก่นตั้งอยู่ ตัดเอาแก่นนั้นแหละถือไป รู้อยู่ว่าแก่น กิจที่จะพึงทำด้วยไม้แก่นของเขาจักสำเร็จประโยชน์แก่เขา

พรหมจรรย์จึงมิใช่มีลาภ สักการะ และความสรรเสริญเป็นอานิสงส์ มิใช่มีความถึงพร้อมแห่งศีลเป็นอานิสงส์ มิใช่มีความถึงพร้อมสมาธิเป็นอานิสงส์ มิใช่มีญาณทัสสนะเป็นอานิสงส์ พรหมจรรย์นี้มีเจโตวิมุติอันไม่กำเริบ เป็นประโยชน์ เป็นแก่น เป็นที่สุด

เมื่อพระผู้มีพระภาคตรัสอย่างนี้แล้ว ปิงคลโกจฉพราหมณ์ขอถึงพระองค์ กับพระธรรม และภิกษุสงฆ์ ว่าเป็นสรณะ เป็นอุบาสกผู้ถึงพระรัตนตรัยเป็นสรณะตลอดชีวิต แต่วันนี้เป็นต้นไป

 

 

 

อ้างอิง
จูฬสาโรปมสูตร พระไตรปิฎก ฉบับหลวง เล่มที่ ๑๒ ข้อที่ ๓๕๓-๓๖๐ หน้า ๒๖๔-๒๗๑
ลำดับที่
2

สถานการณ์

การปฏิบัติธรรม

พระไตรปิฎกเสียงชุดอื่นๆ

พระธรรมวินัย

ธรรมวินัย