โปรดชีวกโกมารภัจจ์
สมัยหนึ่ง พระผู้มีพระภาคประทับอยู่ ณ อัมพวันของหมอชีวกโกมารภัจจ์ เขตพระนคร ราชคฤห์ ครั้งนั้น หมอชีวกโกมารภัจจ์เข้าไปเฝ้าพระผู้มีพระภาคแล้วกราบทูลถามพระผู้มีพระภาคว่า
ตนได้ฟังมาว่า ชนทั้งหลายที่ฆ่าสัตว์เจาะจงพระสมณโคดม พระสมณโคดมทรงทราบข้อนั้นอยู่ ยังเสวยเนื้อที่เขาทำเฉพาะตน อาศัยตนทำ
แล้วถามพระผู้มีพระภาคว่า ชนเหล่าใดกล่าวอย่างนี้ ชนเหล่านั้นชื่อว่า กล่าวตรงกับที่พระผู้มีพระภาคตรัส ไม่ชื่อว่ากล่าวตู่พระผู้มีพระภาคด้วยคำอันไม่เป็นจริง ชื่อว่ายืนยันธรรมอันสมควรแก่ธรรม การกล่าวและกล่าวตามที่ชอบธรรม จะไม่ถึงข้อติเตียนหรือ
เนื้อที่ไม่ควรบริโภค และควรบริโภค ๓ อย่าง
พระผู้มีพระภาคตรัสว่า ชนใดกล่าวเช่นนั้น ชื่อว่ากล่าวตู่ท่านด้วยคำอันไม่เป็นจริง
ทรงกล่าวเนื้อที่ไม่ควรเป็นของบริโภคด้วยเหตุ ๓ ประการ คือ
เนื้อที่ตนเห็น
เนื้อที่ตนได้ยิน
เนื้อที่ตนรังเกียจ
ทรงกล่าวเนื้อที่เป็นของควรบริโภคด้วยเหตุ ๓ ประการ คือ
เนื้อที่ตนไม่ได้เห็น
เนื้อที่ตนไม่ได้ยิน
เนื้อที่ตนไม่ได้รังเกียจ
การฉันบิณบาตอันไม่มีโทษ
ภิกษุในธรรมวินัยนี้มีใจประกอบด้วยเมตตา กรุณา มุทิตา อุเบกขา แผ่ไปตลอดทิศหนึ่งอยู่ ทิศที่ ๒ ทิศที่ ๓ ทิศที่ ๔ ก็เหมือนกัน ตามนัยนี้ ทั้งเบื้องบน เบื้องล่าง เบื้องขวาง แผ่ไปตลอดโลก ทั่วสัตว์ทุกเหล่าโดยความมีตนทั่วไปในทุกสถาน ด้วยใจประกอบด้วยเมตตา กรุณา มุทิตา อุเบกขา อันไพบูลย์ ถึงความเป็นใหญ่ หาประมาณมิได้ ไม่มีเวรไม่มีความเบียดเบียนอยู่
คฤหบดีหรือบุตรคฤหบดีเข้าไปหาภิกษุนั้นแล้วนิมนต์ด้วยภัตเพื่อให้ฉันในวันรุ่งขึ้น เมื่อภิกษุรับนิมนต์ คฤหบดีหรือบุตรของคฤหบดีนั้น อังคาสภิกษุนั้นด้วยบิณฑบาตอันประณีต ความดำริว่า “ดีหนอ คฤหบดีหรือบุตรคฤหบดีผู้นี้ อังคาสเราอยู่ด้วยบิณฑบาตอันประณีต” ย่อมไม่มีแก่ภิกษุนั้น
แม้ความดำริว่า “โอหนอ คฤหบดีหรือบุตรคฤหบดีผู้นี้ พึงอังคาสเราด้วยบิณฑบาตอันประณีตเช่นนี้ ต่อไป” ก็ไม่มีแก่ภิกษุนั้น
ภิกษุนั้นไม่กำหนด ไม่สยบ ไม่รีบกลืนบิณฑบาตนั้น มีปกติเห็นโทษ มีปัญญาเครื่องถอนตน บริโภคอยู่
ในสมัยนั้น ภิกษุนั้นย่อมไม่คิดเพื่อเบียดเบียนตน เพื่อเบียดเบียนผู้อื่น หรือเพื่อเบียดเบียนทั้งสองฝ่าย ภิกษุนั้นชื่อว่าฉันอาหารอันไม่มีโทษ
หมอชีวกกล่าวว่า ตนได้แต่สดับมาว่าพรหมมีปกติอยู่ด้วยเมตตา กรุณา มุทิตา อุเบกขา คำนี้พระผู้มีพระภาคเป็นองค์พยาน ปรากฏแล้ว ด้วยว่าพระผู้มีพระภาคทรงมีปกติอยู่ด้วยเมตตา กรุณา มุทิตา อุเบกขา
พระผู้มีพระภาคตรัสต่อไปว่า บุคคลพึงมีความพยาบาท เพราะราคะ โทสะ โมหะใด ราคะ โทสะ โมหะนั้น พระองค์ทรงละแล้ว มีมูลอันขาดแล้ว เป็นดุจตาลยอดด้วน ถึงความไม่มี มีอันไม่เกิดต่อไปเป็นธรรมดา ถ้าท่านชีวกะกล่าวหมายเอาการละราคะ โทสะ โมหะ เป็นต้นนี้ ทรงอนุญาตการกล่าวเช่นนั้นแก่ท่าน
ทำบุญได้บาปด้วยเหตุ ๕ ประการ
ผู้ใดฆ่าสัตว์เจาะจงตถาคต หรือสาวกตถาคต ผู้นั้นย่อมประสพบาป มิใช่บุญเป็นอันมาก ด้วยเหตุ ๕ ประการ คือ
ผู้นั้นกล่าวอย่างนี้ว่า ท่านทั้งหลายจงไปนำสัตว์ชื่อโน้นมา ดังนี้ ชื่อว่าย่อมประสพบาปมิใช่บุญเป็นอันมาก ด้วยเหตุประการที่ ๑ นี้
สัตว์นั้นเมื่อถูกเขาผูกคอนำมา ได้เสวยทุกข์ โทมนัส ชื่อว่า ย่อมประสพบาปมิใช่บุญเป็นอันมาก ด้วยเหตุประการที่ ๒ นี้
ผู้นั้นพูดอย่างนี้ว่า ท่านทั้งหลายจงไปฆ่าสัตว์นี้ ชื่อว่าย่อมประสพบาปมิใช่บุญเป็นอันมาก ด้วยเหตุประการที่ ๓ นี้
สัตว์นั้นเมื่อเขากำลังฆ่าย่อมเสวยทุกข์ โทมนัส ชื่อว่าย่อมประสพบาปมิใช่บุญเป็นอันมาก ด้วยเหตุประการที่ ๔ นี้
ผู้นั้นย่อมยังตถาคตและสาวกตถาคตให้ยินดีด้วยเนื้อเป็นอกัปปิยะ ชื่อว่าย่อมประสพบาปมิใช่บุญเป็นอันมาก ด้วยเหตุประการที่ ๕ นี้
ผู้ใดฆ่าสัตว์เจาะจงตถาคตหรือสาวกของตถาคต ผู้นั้นย่อมประสพบาป มิใช่บุญเป็นอันมาก ด้วยเหตุ ๕ ประการนี้
เมื่อพระผู้มีพระภาคตรัสอย่างนี้แล้ว ชีวกโกมารภัจจ์ประกาศตนอุบาสก ผู้ถึงสรณะตลอดชีวิต ตั้งแต่วันนั้นเป็นต้นมา
อ่าน ชีวกสูตร