พระสีวลีเถระ
ท่านพระสีวลีเถระนั้นได้เคยบำเพ็ญกุศลมาแล้วในพระพุทธเจ้าพระองค์ก่อน ๆ ได้สั่งสมบุญอันเป็นอุปนิสัยแห่งพระนิพพานไว้เป็นอันมากในภพนั้น ๆ
บุพกรรมในสมัยพระพุทธเจ้าปทุมุตตระ
ในกาลแห่งพระผู้มีพระภาคเจ้าพระนามว่า ปทุมุตตระ ท่านได้เกิดในเรือนอันมีสกุล ได้ไปยังพระวิหาร ยืนอยู่ท้ายบริษัท ฟังธรรมได้เห็นพระภิกษุรูปหนึ่ง ซึ่งพระศาสดาทรงสถาปนาเธอไว้ในตำแหน่งที่เลิศกว่าพวกภิกษุผู้มีลาภ แล้วคิดว่า
"ในอนาคตกาล แม้เราก็ควรเป็นเช่นภิกษุรูปนี้บ้าง"
ท่านจึงได้นิมนต์พระทศพล ถวายมหาทานแด่ภิกษุสงฆ์มีพระพุทธเจ้าเป็นประมุขตลอด ๗ วัน แล้วได้ตั้งความปรารถนาไว้ว่า
"ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ ด้วยกรรมดีที่สั่งสมไว้นี้ ข้าพระองค์มิได้ปรารถนาสมบัติอื่นเลย หากแต่ในอนาคตกาล ในพระศาสนาของพระพุทธเจ้าพระองค์หนึ่ง ข้าพระองค์ปรารถนาเป็นผู้เลิศกว่าพวกภิกษุผู้มีลาภ เหมือนเช่นภิกษุที่พระองค์ทรงสถาปนาไว้ในตำแหน่งที่เลิศนั้นเถิด"
พระศาสดา ทรงเห็นว่าไม่มีอันตราย จึงทรงพยากรณ์ว่า
"ความปรารถนาของเธอนี้ จักสำเร็จในสำนักของพระโคดมพุทธเจ้าในอนาคตกาล"
แล้วเสด็จหลีกไป ท่านได้กระทำกุศลไว้จนตลอดชีวิต ครั้นสิ้นชีวิตแล้วก็ท่องเที่ยวไปในกำเนิดเทวดาและมนุษย์ทั้งหลาย
บุพกรรมในสมัยพระพุทธเจ้าวิปัสสี
ครั้นในกัปที่ ๙๑ แต่ภัทรกัปนี้ ในกาลของพระพุทธเจ้าทรงพระนามว่า วิปัสสี ท่านได้ถือปฏิสนธิในหมู่บ้านแห่งหนึ่งไม่ไกลจากพระนครพันธุมดี
สมัยหนึ่ง หลังจากที่พระบรมศาสดาเสด็จเที่ยวจาริกไปในชนบท กลับมาสู่พระนครพันธุมดี ครั้งนั้น พระเจ้าพันธุมะซึ่งเป็นพุทธบิดา ได้ทรงเตรียมอาคันตุกทาน เพื่อภิกษุสงฆ์มีพระพุทธเจ้าเป็นประมุข ทรงปรารถนาจะทำมหาทานแข่งกับชาวเมือง ในวันใดที่พระราชาเป็นผู้ถวายทาน เหล่ามหาชนก็จะสังเกตดู และในวันรุ่งขึ้นก็จะเตรียมทานให้ยิ่งกว่านั้น และในวันถัดไป พระราชาก็จะถวายให้ยิ่งขึ้นไปอีก จนกระทั่งถึงวันที่ ๖ ซึ่งเป็นวันของชาวเมือง ชาวเมืองเหล่านั้นทั้งหมดได้จัดเตรียมสิ่งของไว้ทุกสิ่ง โดยตั้งใจจะไม่ให้มีสิ่งใดที่ขาดแม้สักสิ่งเดียว จึงได้ตรวจดูทานที่ตนได้เตรียมไว้ก็ไม่เห็นน้ำผึ้งและนมส้ม ชนเหล่านั้นจึงให้คนถือเอาทรัพย์คนละ ๑ พันกหาปนะ แล้วส่งไปเฝ้ายังประตูพระนครทั้ง ๔ เพื่อขอซื้อจากผู้ที่มาจากชนบทนอกพระนคร
ในวันนั้น ท่านถือหม้อใส่นมส้มออกจากบ้าน เพื่อเข้าไปในเมือง หมายจะเอานมส้มไปแลกกับของที่ตนต้องการ ระหว่างทางท่านคิดจะล้างหน้า มือ และเท้าให้สะอาดก่อนเข้าเมือง ระหว่างชำระล้างนั้นท่านมองเห็นรังผึ้งที่ไม่มีตัวผึ้งขนาดเท่าหัวไถ คิดว่า
"รังผึ้งนี้เกิดขึ้นแก่เราด้วยบุญ"
จึงถือรังผึ้งเข้าไปในพระนคร พวกบุรุษที่เฝ้าหนทางอยู่ เห็นท่านแล้วถามว่า
"ท่านกำลังจะนำน้ำผึ้งและนมส้มไปให้ใคร"
ท่านตอบว่า
"เราไม่ได้จะให้ใคร แต่เรานำมาเพื่อขาย"
"เราขอซื้อน้ำผึ้งและนมส้มนั้นด้วยเงิน ๑ กหาปณะ"
ท่านนั้นคิดว่า
"น้ำผึ้งและนมส้มนี้ ไม่น่าจะมีราคามากขนาดนี้ ทำไมเขาให้เงินมาก"
จึงกล่าวว่า
"เราจะไม่ยอมขายเพียงกหาปณะเดียว"
"ถ้าอย่างนั้นเราให้ท่าน ๒ กหาปณะ"
"ถึงจะให้ ๒ กหาปณะ เราก็ไม่ขาย"
บุรุษนั้นจึงค่อย ๆ เพิ่มให้จนถึงพันกหาปณะ ท่านคิดว่า
"พวกเขาต้องการของสองสิ่งนี้ไปทำอะไร"
จึงถามบุรุษนั้นว่า
"น้ำผึ้งและนมส้มนี้ไม่ได้มีค่ามีราคามากเลย แต่ท่านให้ราคาเสียมากมาย ท่านจะเอาน้ำผึ้งและนมส้มไปทำอะไร"
"ท่านผู้เจริญ ชาวพระนครได้ขัดแย้งกับพระราชา พวกเรากำลังจะถวายทานแด่พระวิปัสสีสัมมาสัมพุทธเจ้า แต่พวกเราขาดน้ำผึ้งและนมส้ม เราจะทำทานให้เป็นทานอันเลิศ จึงต้องหาซื้อ ถ้าไม่ได้ พวกเราจะพ่ายแพ้พระราชา เราจึงต้องซื้อให้ได้"
"น้ำผึ้งและนมส้มนี้ พวกชาวเมืองถวายได้เท่านั้นหรือ หรือว่าคนเหล่าอื่นก็ถวายได้"
"พวกเราไม่ได้ห้ามใครถวาย"
"ผู้บริจาคเงินถึงหนึ่งพันกหาปณะในวันเดียวเพื่อทำทานครั้งนี้ มีหรือไม่"
"ไม่มีหรอกสหาย"
"ถ้าอย่างนั้น เราจะให้น้ำผึ้งและนมส้มราคาหนึ่งพันนี้"
"ดีล่ะ แล้วจะให้พวกเราทำอย่างไร"
"พวกท่านจงไปบอกให้พวกชาวเมืองรู้ว่า มีบุรุษคนหนึ่งไม่ยอมขายของสองสิ่งนี้แม้จะให้ราคาถึงพัน แต่เขาประสงค์จะร่วมบุญกับพวกท่านด้วยมือของเขาเอง พวกท่านจงหมดความกังวลใจในของสองสิ่งนี้เถิด"
"ท่านจงเป็นผู้มีส่วนเป็นหัวหน้าในทานนี้ด้วยเถิด"
แล้วไป ท่านนำกหาปณะที่ติดตัวมาซื้อเครื่องเทศ ๕ อย่าง ทำให้ป่น ทำน้ำส้มจากนมส้ม แล้วคั้นรังผึ้งลงผสม ปรุงด้วยเครื่องเทศ ๕ อย่าง แล้วใส่ลงในใบบัว เมื่อเรียบร้อยแล้ว ถือไปนั่งไม่ไกลพระทศพล เมื่อมหาชนนำเอาสักการะเข้าไปถวายตามลำดับจนถึงวาระของท่าน ก่อนถวาย ท่านได้กราบทูลว่า
"ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ สักการะอันยากไร้นี้เป็นของข้าพระองค์ ขอพระองค์โปรดอาศัยความอนุเคราะห์ รับสักการะนี้เถิด"
พระศาสดาทรงอนุเคราะห์ ทรงรับสักการะนั้นด้วยบาตรศิลา เป็นบาตรที่ท้าวมหาราชทั้ง ๔ ถวายให้ จากนั้นทรงอธิษฐานให้สักการะนั้นไม่หมดไป แม้จะมีภิกษุมากถึง ๖ ล้าน ๘ แสนรูป
หลังจากพระศาสดาเสวยเสร็จแล้ว ท่านถวายบังคมกราบทูลว่า
"ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ ข้าพระองค์ได้เห็นพระผู้มีพระภาคเจ้าแล้ว วันนี้พวกชาวพันธุมดีนครนำสักการะมาถวายพระองค์ ด้วยผลแห่งการถวายสักการะนี้ ขอข้าพระองค์พึงเป็นผู้เลิศด้วยลาภและเลิศด้วยยศ ในภพที่เกิดแล้วเถิด"
พระศาสดาตรัสว่า
"จงเป็นอย่างปรารถนาเถิดกุลบุตร"
แล้วทรงอนุโมทนาธรรมแก่ท่านและชาวพระนคร จากนั้นเสด็จกลับ ท่านทำกุศลจนตลอดชีวิต
บุรพกรรมที่นำไปสู่อเวจีและต้องอยู่ในครรภ์พระมารดา ๗ ปี ๗ วัน
เมื่อท่านได้สิ้นอายุในสมัยนั้นแล้ว ก็ได้ไปบังเกิดในเทวโลก ท่องเที่ยวอยู่สิ้นกาลนาน ต่อมาในสมัยหนึ่งท่านได้จุติจากเทวโลก บังเกิดเป็นราชโอรสแห่งพระเจ้ากาสี ผู้ครองกรุงพาราณสี
ต่อมาพระเจ้าโกศลทรงกรีธากองพลใหญ่มายึดกรุงพาราณสี ทรงปลงพระชนม์พระเจ้ากาสีและได้สถาปนาพระอัครมเหสีของพระราชานั้นให้เป็นอัครมเหสีของพระองค์ ฝ่ายพระราชโอรสของพระเจ้าพาราณสี ในเวลาที่พระบิดาถูกปลงพระชนม์ ได้ทรงหนีออกทางประตูระบายน้ำ รวบรวมญาติมิตรและพวกพ้องของพระองค์ไว้เป็นอันเดียวกัน รวมกำลังโดยลำดับ แล้วเสด็จมายังกรุงพาราณสี ตั้งค่ายใหญ่ไว้ในที่ไม่ไกล ทรงส่งพระราชสาสน์ถึงพระราชาองค์นั้นว่า
"จะคืนราชสมบัติหรือจะรบ"
พระมารดาได้สดับสาสน์ของพระราชกุมารแล้ว จึงส่งพระราชสาสน์ลับแนะนำไปว่า
"จงอย่าได้ต่อสู้ จงตัดขาดการสัญจรทั่วทุกทิศ โดยการล้อมกรุงพาราณสีไว้ พวกคนในกรุงก็จะพากันลำบากเพราะหมดไม้ น้ำและอาหาร และจะจับพระราชามาถวายเอง"
พระราชกุมารได้สดับสาสน์ของพระมารดาแล้ว จึงล้อมประตูใหญ่ทั้ง ๔ ด้านไว้ ๗ ปี แต่การณ์ก็มิได้เป็นอย่างที่ทรงดำริ เนื่องจากพวกคนในกรุงพากันออกทางประตูเล็ก นำเอาไม้และน้ำมาทำกิจทุกอย่าง
ครั้นพระมารดาของพระราชกุมารทรงสดับเรื่องนั้นแล้ว จึงส่งพระราชสาสน์ลับถึงพระโอรส ตำหนิพระโอรสว่า
"ลูกเราโง่เขลาไม่รู้อุบาย จงปิดประตูน้อย ล้อมกรุงไว้"
พระราชกุมารทรงสดับพระราชสาสน์ของพระมารดา จึงได้ทรงกระทำอย่างนั้นถึง ๗ วัน ชาวพระนครเมื่อออกไปข้างนอกไม่ได้ วันที่ ๗ จึงได้เอาพระเศียรของพระราชานั้นไปมอบแด่พระราชกุมาร พระราชกุมารได้เสด็จเข้ากรุงยึดราชสมบัติ
ท่านได้กระทำกรรมนี้แล้ว ในกาลที่สุดแห่งอายุ ไปบังเกิดในอเวจี หมกไหม้อยู่ในนรกตราบเท่ามหาปฐพีนี้หนาขึ้นได้ประมาณโยชน์หนึ่ง
ครั้นพ้นจากนรกอเวจีแล้ว ก็เที่ยวเกิดไปในเทวดาและมนุษย์ทั้งหลาย จนถึงสมัยพระพุทธเจ้าของเรานี้ จึงได้ถือปฏิสนธิในครรภ์ของพระนางสุปปวาสา ราชบุตรีของเจ้าโกลิยะ กษัตริย์พระนครโกลิยะ ซึ่งทรงอภิเษกกับเจ้าศากยวงศ์พระองค์หนึ่ง พระนางนั้นพระบรมศาสดาได้ทรงสถาปนาพระนางไว้ในตำแหน่งเอตทัคคะเป็นเลิศกว่าพวกอุบาสิกาผู้ถวายของมีรสประณีต และได้ทรงปฏิบัติธรรมจนบรรลุโสดาปัตติผล
ด้วยกุศลกรรมแห่งการที่ท่านเป็นผู้เลิศด้วยลาภ เพราะอานุภาพที่ถวายมหาทาน แล้วตั้งความปรารถนาในสมัยแห่งองค์พระปทุมุตตรสัมมาสัมพุทธเจ้าว่าขอเป็นผู้เลิศด้วยลาภ และอานิสงส์ที่ถวายน้ำผึ้งและนมส้มมีค่า ๑,๐๐๐ กหาปณะพร้อมชาวเมือง แล้วได้ตั้งความปรารถนาในกาลแห่งพระผู้มีพระภาคเจ้าพระนามว่าวิปัสสี นับแต่วันที่ท่านถือปฏิสนธิ ก็มีคนถือเอาเครื่องบรรณาการมาให้พระนางสุปปวาสาวันละร้อยเล่มเกวียน ทั้งในเวลาเย็นและในเวลาเช้า
ครั้งนั้น คนทั้งหลายปรารถนาจะลองบุญนั้น จึงให้พระนางเอามือจับกระเช้าพืช พืชแต่ละเมล็ดผลิตผลออกมาเป็นพืชตั้งร้อยกำ พันกำ พืชที่หว่านลงไปในที่นาแต่ละกรีส (หน่วยวัดที่นาในสมัยพุทธกาล) ก็เกิดผลประมาณ ๕๐ เล่มเกวียนบ้าง ๖๐ เล่มเกวียนบ้าง แม้ในเวลาขนข้าวใส่ยุ้ง คนทั้งหลายก็ให้พระนางเอามือจับประตูยุ้ง ข้าวที่พร่องอยู่ก็กลับเต็มเหมือนเดิม ให้พระนางจับหม้อข้าวสวยไว้ และตักออกแจกจ่าย ตราบใดที่พระนางยังไม่ยกพระหัตถ์ออก ข้าวสวยก็ยังไม่หมดไป คนทั้งหลายจึงกล่าวกันว่าเป็นบุญของพระนางสุปปวาสา
ด้วยผลกรรมของพระนางที่ได้ส่งสาส์นลับไปแนะนำพระราชโอรส ร่วมกับวิบากกรรมของพระโอรสในอดีตที่ได้ล้อมกรุงพาราณสีไว้เป็นเวลาถึง ๗ ปี ทำให้เวลาล่วงไปถึง ๗ ปี ก็ยังไม่มีพระประสูติกาล
ครั้นเมื่อครบกำหนด ๗ ปีแล้ว ด้วยวิบากกรรมร่วมกันของพระนางกับพระโอรสที่ได้ปิดล้อมประตูเล็กของกรุงพาราณสีไว้เป็นเวลา ๗ วัน ทำให้ชาวเมืองไม่สามารถออกจากเมืองมาหาอาหารและสิ่งที่จำเป็นในการดำรงชีวิต ได้รับความลำบากมาก ทำให้พระนางเสวยทุกข์หนักตลอด ๗ วัน
พระนางปรารภกับพระสวามีว่า
"หม่อมฉันปรารถนาจะถวายทานแด่พระศาสดาก่อนที่จะตาย"
แล้วตรัสต่อว่า
"ขอพระองค์จงไปกราบทูลให้พระศาสดาทรงทราบความเป็นไป แล้วจงทรงนิมนต์พระศาสดามา ถ้าพระศาสดาตรัสพระดำรัสอันใด พระองค์จงทรงจำพระดำรัสนั้นให้ดีแล้วกลับมาบอกแก่หม่อมฉัน"
พระสวามีจึงเดินทางไปแล้วกราบทูลข่าวแด่พระพุทธองค์ พระบรมศาสดาทรงตรัสว่า
"พระนางสุปปวาสาโกลิยธิดาจงมีความสุข จงมีความสบาย ไม่มีโรค จงคลอดบุตรที่หาโรคมิได้เถิด"
พระสวามีได้ยินดังนั้นจึงถวายบังคมพระศาสดา ทรงมุ่งหน้าเสด็จกลับพระราชนิเวศน์
ในเวลาเมื่อพระบรมสุคตตรัสเสร็จ พระกุมารก็คลอดจากพระครรภ์ของพระนางสุปปวาสาอย่างสะดวก เหล่าพระญาติและบริวารที่นั่งล้อมอยู่เริ่มหัวเราะทั้งที่หน้านองด้วยน้ำตา มหาชนยินดีแล้ว ร่าเริงแล้ว ได้ไปกราบทูลข่าวที่น่ายินดีแด่พระสวามีที่กำลังเดินทางกลับ พระราชาทรงเห็นอาการของชนเหล่านั้นทรงดำริว่า
"พระดำรัสที่พระทศพลตรัสเห็นจะเป็นผลแล้ว"
พระองค์จึงกราบทูลข่าวของพระทศพลนั้นแด่พระนางสุปปวาสา พระนางตรัสให้พระสวามีไปนิมนต์พระทศพลตลอด ๗ วัน พระสวามีทรงกระทำดังนั้น และได้มีการถวายทานแด่พระภิกษุสงฆ์มีพระพุทธเจ้าเป็นประธานตลอด ๗ วัน การประสูติของทารกได้ดับจิตที่เร่าร้อนของพระประยูรญาติทั้งหมด พระประยูรญาติจึงเฉลิมพระนามของกุมารนั้นว่า “สีวลีทารก”
พระสีวลีบวชเมื่อเกิดได้ ๗ วัน
ตั้งแต่เวลาที่ได้เกิดมาแล้ว ทารกนั้นได้เป็นผู้แข็งแรง อดทนได้ในการงานทั้งปวงเพราะค่าที่อยู่ในครรภ์มานานถึง ๗ ปี ครั้นถึงวันที่ ๗ พระนางสุปปวาสาตกแต่งพระสีวลีกุมารผู้โอรส ถวายบังคมพระศาสดาและพระภิกษุสงฆ์ เมื่อพระกุมารถูกนำเข้าไปสักการะพระสารีบุตรเถระนั้น พระเถระได้กระทำปฏิสันถารกับเธอว่า
"สีวลี เธอยังจะพอทนได้หรือ"
สีวลีกุมาร ได้ตรัสตอบพระเถระว่า
"ข้าแต่พระคุณเจ้าผู้เจริญ กระผมจะมีความสุขที่ไหนได้เล่า กระผมนั้นต้องอยู่ในครรภ์ถึง ๗ ปี"
"ก็ถ้าเธอได้รับความทุกข์ถึงขนาดนั้นแล้ว บวชเสียไม่สมควรหรือ"
"ถ้าบวชได้ก็จะบวช"
พระนางสุปปวาสาเห็นทารกนั้นพูดอยู่กับพระเถระ ก็คิดว่า
"บุตรของเราพูดอะไรกับพระธรรมเสนาบดีหนอ"
จึงเข้าไปหาพระเถระถามว่า
"บุตรของดิฉันพูดอะไรกับพระคุณเจ้า เจ้าคะ"
พระเถระกล่าวว่า
"บุตรของท่านพูดถึงความทุกข์ที่อยู่ในครรภ์ที่ตนได้รับ แล้วกล่าวว่าถ้าท่านอนุญาต ก็จะบวช"
"ดีละเจ้าข้า โปรดให้เขาบรรพชาเถิด"
พระเถระนำทารกนั้นไปวิหาร ให้ตจปัญจกกัมมัฎฐาน (กรรมฐาน 5 กอง คือ เกศา โลมา นขา ทันตา ตโจ) และได้กล่าวว่า
"สีวลี เราไม่จำต้องให้โอวาทดอก เธอจงพิจารณาทุกข์ที่เธอเสวยมาถึง ๗ ปีนั่นแหละ"
ในขณะที่โกนผมปอยแรก พระสีวลีก็บรรลุโสดาปัตติผล และในขณะที่โกนผลปอยที่ ๒ ก็บรรลุสกทาคามิผล และในขณะที่โกนผมปอยที่ ๓ ก็บรรลุอนาคามิผล และก็ได้บรรลุพระอรหัตผลพร้อมกันกับที่โกนผมหมด
พระสีวลีทดลองบุญ
ในเวลาต่อมา พระบรมศาสดาได้เสด็จไปยังพระนครสาวัตถี พระสีวลีเถระถวายอภิวาทพระบรมศาสดาแล้ว กราบทูลว่า
"ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ ข้าพระองค์จักทดลองบุญของข้าพระองค์ ขอพระองค์จงมอบภิกษุ ๕๐๐ รูปแก่ข้าพระองค์"
พระศาสดาตรัสสั่งว่า
"จงรับไปเถิด สีวลี"
ท่านพระสีวลีเถระพาภิกษุ ๕๐๐ รูป เดินทางบ่ายหน้าไปสู่หิมวันตประเทศ เดินทางผ่านดงเทวดาที่สิงอยู่ที่ต้นไทรที่ท่านเห็นเป็นครั้งแรก ได้ถวายทานตลอด ๗ วัน เทวดาทั้งหลายได้ถวายทานทุก ๆ ๗ วัน ในสถานที่ทั่ว ๆ ไป ที่ท่านเห็นต่างกรรม ต่างวาระกัน ดังนี้ คือ
ท่านเห็นต้นไทรเป็นครั้งแรก เห็นภูเขาชื่อว่าปัณฑวะเป็นครั้งที่ ๒ เห็นแม่น้ำอจิรวดีเป็นครั้งที่ ๓ เห็นแม่น้ำวรสาครเป็นครั้งที่ ๔ เห็นภูเขาหิมวันต์เป็นครั้งที่ ๕ ถึงป่าฉัททันต์ เป็นครั้งที่ ๖ ถึงภูเขาคันธมาทน์เป็นครั้งที่ ๗ และพบพระเรวตะ เป็นครั้งที่ ๘
ประชาชนทั้งหลายได้ถวายทานในที่ทุกแห่งตลอด ๗ วันเท่านั้น ก็ในบรรดา ๗ วัน นาคทัตตเทวราชที่ภูเขาคันธมาทน์ ได้ถวายบิณฑบาตชนิดน้ำนม (ขีรบิณฑบาต) สลับวันกับถวายบิณฑบาตชนิดเนยใส (สัปปิบิณฑบาต) วันเว้นวัน
ลำดับนั้นภิกษุสงฆ์จึงถามท่านเทวราช ว่า
"ของที่ท่านนำมาถวายนั้นเกิดขึ้นได้อย่างไร ในเมื่อแม่โคนมที่เขารีดนมถวายแด่เทวราชนี้ก็ไม่ได้ปรากฏ การคั้นเนยใสก็ไม่มี"
นาคทัตตเทวราชตอบว่า
"นี้เป็นอานิสงส์แห่งการถวายสลากภัตรเจือน้ำนมในกาลแห่งพระกัสสปทศพล"
เหตุเรื่องให้ทรงแต่งตั้งพระสีวลีเถระไว้ในตำแหน่งเอตทัคคะผู้เลิศด้วยลาภและด้วยยศ
ในกาลต่อมา พระผู้มีพระภาคเจ้าทรงทราบว่าพระเรวตขทิรวนิยะ ผู้เป็นน้องชายพระสารีบุตร บรรลุพระอรหัตแล้ว ทรงประสงค์จะเสด็จไปเยี่ยม ตรัสสั่งให้พระสารีบุตรแจ้งแก่ภิกษุทั้งหลาย พระเถระสั่งให้ภิกษุทั้งหลายมาประชุมกัน แล้วแจ้งให้ทราบว่า
"ผู้มีอายุทั้งหลาย พระศาสดามีพระประสงค์จะเสด็จจาริกไป พวกท่านต้องการตามเสด็จ ก็จงมาเถิด"
ครั้งนั้น มีภิกษุต้องการตามเสด็จจำนวนมาก เพราะต่างต้องการเห็นพระสรีระดุจทองคำและฟังธรรมจากพระองค์ เมื่อเสด็จถึงหนทางแห่งหนึ่ง เป็นทาง ๒ แพร่ง พระอานนท์กราบทูลถามว่า
"ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ ตรงนี้มีหนทาง ๒ แพร่ง ภิกษุสงฆ์จะไปทางไหน พระพุทธเจ้าข้า"
พระศาสดาตรัสถามว่า
"อานนท์ หนทางไหนเป็นหนทางตรง"
พระอานนท์กราบทูลว่า
"ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ หนทางตรงมีระยะทางไกลประมาณ ๓๐ โยชน์ เป็นที่อยู่ของพวกอมนุษย์ ส่วนหนที่อ้อมมีระยะทางไกลประมาณ ๖๐ โยชน์ เป็นหนทางสะดวกปลอดภัย มีอาหารหาได้ง่าย"
"อานนท์ สีวลีมาพร้อมกับพวกเรามิใช่หรือ"
"พระสีวลีมาด้วย พระพุทธเจ้าข้า"
"ถ้าอย่างนั้น ภิกษุสงฆ์จงไปตามเส้นทางตรง เราจะได้ทดลองบุญของพระสีวลี"
จากนั้น ทรงพาภิกษุสงฆ์ไปตามหนทางตรง หมู่เทวดาได้ช่วยกันเนรมิตนครขึ้นทุก ๆ โยชน์ จัดแจงพระวิหารให้เสด็จประทับและให้ภิกษุสงฆ์พัก พวกเทวดาทำตัวดุจกรรมกรที่พระราชาทรงส่งมาปรนนิบัติ พวกเทวดาถือข้าวยาคูและของควรเคี้ยว เป็นต้น เข้าไปถามหาพระสีวลีว่า
"พระผู้เป็นเจ้าสีวลีไปไหน"
ทราบแล้ว ก็นำของเหล่านั้นถวายแก่ท่าน
พระเถระรับแล้วให้ภิกษุช่วยกันนำไปถวายพระศาสดาและภิกษุสงฆ์
พระศาสดาเสด็จไปวันละหนึ่งโยชน์ พวกเทวดาก็จะถวายสักการะแด่พระสีวลีเช่นนี้เรื่อยไปจนครบ ๓๐ วัน ๓๐ โยชน์ จนถึงที่อยู่ของพระเรวตะ
ในกาลต่อมา พระผู้มีพระภาคเจ้าประทับนั่งในท่ามกลางหมู่พระอริยเจ้าแล้ว ทรงสถาปนาพระเถระนั้นไว้ในตำแหน่งอันเลิศว่า
"ดูกรภิกษุทั้งหลาย พระสีวลีเป็นผู้เลิศกว่าพวกภิกษุสาวกของเราผู้มีลาภ"
อ้างอิง : สารานุกรม พระไตรปิฎก ฉบับธรรมทาน