พระภัททชิเถระ
ในกาลของพระผู้มีพระภาคเจ้าทรงพระนามว่าปทุมุตตระ พระภัททชิระเถระเกิดในตระกูลพราหมณ์ เป็นผู้รู้ ละกาม แล้วบวชเป็นดาบส อยู่ที่ป่าชัฏ
วันหนึ่งดาบสเห็นพระศาสดาเสด็จไปโดยอากาศ มีใจเลื่อมใส ยืนประคองอัญชลี เมื่อพระผู้มีพระภาคเสด็จลงโปรด ได้นำน้ำผึ้ง เหง้าบัว เนยใส และน้ำนม ถวายแด่พระผู้มีพระภาค
ด้วยบุญกรรมนั้น ท่านบังเกิดในภพดุสิต และวนไปเวียนมาอยู่แต่ในสุคติภพ เกิดเป็นเศรษฐี มีทรัพย์มาก
ในกาลของพระผู้มีพระภาคเจ้าวิปัสสี ได้ถวายภัตตาหารและไตรจีวรแด่ภิกษุสงฆ์ ๖๘,๐๐๐ แล้วบังเกิดในเทวโลก จุติจากเทวโลกได้บังเกิดในมนุษยโลก
เมื่อโลกว่างจากพระพุทธเจ้า ก็บำรุงพระปัจเจกพุทธเจ้า ประมาณ ๕๐๐ ด้วยปัจจัย ๔ จุติจากมนุษยโลกแล้ว บังเกิดในราชตระกูล สืบราชสมบัติมาโดยลำดับ บำรุงพระปัจเจกพุทธเจ้า เมื่อพระปัจเจกพุทธเจ้าปรินิพพานแล้ว เก็บพระธาตุมาก่อพระเจดีย์บูชา
ในพุทธุปบาทกาลนี้ เกิดเป็นบุตรคนเดียวของภัททิยเศรษฐี ผู้มีสมบัติ ๘๐ โกฏิ ในภัททิยนคร ได้มีนามว่า ภัททชิ อิสริยสมบัติ โภคสมบัติ และบริวารสมบัติของท่านได้มีเหมือนของพระโพธิสัตว์ในภพสุดท้าย
ในครั้งนั้น พระผู้มีพระภาคทรงจำพรรษาอยู่ในพระนครสาวัตถี เสด็จไปภัททิยนคร พร้อมกับภิกษุสงฆ์หมู่ใหญ่ เพื่อจะทรงสงเคราะห์ภัททชิกุมาร จึงประทับอยู่ ณ ชาติยาวัน
ภัททชิกุมารนั่งอยู่บนปราสาทชั้นบน เห็นมหาชนเดินทางไปฟังธรรมในสำนักของพระผู้มีพระภาคเจ้า จึงตามไปพร้อมด้วยบริวารเป็นอันมาก ได้ฟังธรรมและทำกิเลสทั้งมวลให้สิ้นไป บรรลุพระอรหัตแล้ว
เมื่อภัททชิกุมารบรรลุพระอรหัตแล้ว พระผู้มีพระภาคตรัสกับภัททิยเศรษฐีว่า บุตรของท่านฟังธรรมอยู่ ได้ตั้งอยู่ในพระอรหัตแล้ว การบวชของภัททชิกุมารนั้นในบัดนี้สมควรแล้ว ถ้าไม่บวช จักต้องปรินิพพาน
ท่านเศรษฐีจึงกราบทูลขอพระผู้มีพระภาคให้ทรงยังเขาให้บวช
พระผู้มีพระภาคทรงยังภัททชิกุมารให้บรรพชาอุปสมบทแล้ว เสด็จประทับอยู่ในภัททิยนครตลอด ๗ วัน แล้วเสด็จถึงโกฏิคาม ซึ่งอยู่ใกล้ฝั่งแม่น้ำคงคา ชาวบ้านโกฏิคามบำเพ็ญมหาทานถวายภิกษุสงฆ์ มีพระพุทธเจ้าเป็นประมุข
เมื่อพระศาสดาจะทรงกระทำอนุโมทนา พระภัททชิเถระก็ออกไปนอกบ้าน เพื่อเข้าสมาบัติและดำริว่า ตนจักออกจากสมาบัติ ในเวลาที่พระศาสดาเสด็จมาใกล้ทางที่ฝั่งน้ำคงคา แม้เมื่อพระมหาเถระทั้งหลายมาถึง ก็ยังไม่ออกจากสมาบัติ
ภิกษุผู้เป็นปุถุชนทั้งหลายพากันกล่าวยกโทษว่า พระภัททชิบวชได้ไม่นาน กลับเป็นผู้กระด้างเพราะมานะ ไม่ยอมออกจากสมาบัติเมื่อพระมหาเถระทั้งหลายมาถึง
พระพุทธองค์จึงดำริที่จะประกาศอานุภาพของพระภัททชิเถระ แล้วประทับยืนบนเรือขนาน ตรัสหาพระภัททชิให้ขึ้นเรือลำเดียวกันกับพระองค์
พระภัททชิเถระเหาะขึ้นไปยืนอยู่ในเรือลำที่พระผู้มีพระภาคประทับ ในเวลาที่เรือไปถึงกลางแม่น้ำคงคา พระศาสดาทรงให้พระภัททชิตัดความสงสัยของเพื่อนพรหมจารีทั้งหลายด้วยการยกยอดรัตนปราสาทที่พระภัททชิเคยอยู่ในเวลาที่เป็นพระราชามีนามว่า มหาปนาทะ ซึ่งจมน้ำอยู่ในเวลานี้
พระภัททชิยกปราสาทขึ้นด้วยหัวแม่เท้า แล้วชะลอปราสาทสูง ๒๕ โยชน์ เหาะขึ้นบนอากาศ และเมื่อเหาะขึ้นได้ ๕๐ โยชน์ ก็ยกปราสาทขึ้นพ้นจากน้ำ
ญาติทั้งหลายในภพก่อนของท่าน เกิดเป็นปลา เป็นเต่า และเป็นกบ ด้วยความโลภอันเนื่องอยู่ในปราสาท เมื่อปราสาทนั้น ถูกยกขึ้นก็หล่นตกลงไปในน้ำ พระผู้มีพระภาคเห็นสัตว์เหล่านั้นตกลงไป จึงตรัสว่า ญาติทั้งหลายของท่านจะลำบาก
พระภัททชิเถระจึงปล่อยปราสาทให้ตั้งอยู่ที่เดิมตามคำของพระศาสดา
ภิกษุทั้งหลายได้ทูลถามพระพุทธองค์ว่าพระภัททชิเถระเคยอยู่ปราสาทนี้เมื่อไร พระผู้มีพระภาคจึงตรัสมหาปนาทชาดก แล้วยังมหาชนให้ดื่มน้ำอมฤต คือ พระธรรม
ครั้นพระเถระแสดงปราสาททองอันตนเคยอยู่อาศัยแล้ว พรรณนาด้วยคาถาพยากรณ์พระอรหัตผลว่า
พระเจ้าปนาทะมีปราสาททอง กว้างโยชน์กึ่ง สูง ๒๕ โยชน์ มีชั้นพันชั้น ร้อยพื้น สร้างสลอนไปด้วยธง แวดล้อมไปด้วยแก้วมณีสีเขียวเหลือง ในปราสาทนั้น มีคนธรรพ์ ประมาณหกพัน แบ่งเป็น ๗ พวก พากันฟ้อนรำอยู่
พระภัททิยเถระได้ภาษิตคาถาดังนี้ว่า
ในกัปที่แสนแต่ภัทรกัปนี้ เราได้ถวายเหง้าบัวใดในกาลนั้น ด้วยการถวายเหง้าบัวนั้น เราไม่รู้จักทุคติเลย นี้เป็นผลแห่งการถวายเหง้าบัว
เราเผากิเลสทั้งหลายแล้ว ถอนภพขึ้นได้หมดแล้ว มีอาสวะทั้งปวงสิ้นไปแล้ว บัดนี้ ภพใหม่ของเรามิได้มี
การที่เราได้มาในสำนักพระพุทธเจ้าของเรานี้ เป็นการมาดีแล้ว วิชชา ๓ เราบรรลุแล้วโดยลำดับ คุณวิเศษเหล่านี้ คือ ปฏิสัมภิทา ๔ วิโมกข์ ๘ และอภิญญา ๖ เราทำให้แจ้งชัดแล้ว พระพุทธศาสนา เราได้ทำเสร็จแล้ว
อ่าน ภัททชิเถรคาถา ภัททชิเถราปทาน และ อรรถกถาเรื่อง ภัททชิเถรคาถา