ปาราชิกสิกขาบท สิกขาบทที่ ๒
ภิกษุหลายรูปและพระธนิยะกุมภการบุตร ทำกุฎีมุงบังด้วยหญ้า ณ เชิงเภูเขาอิสิคิลิ แล้วอยู่จำพรรษา ครั้นล่วงไตรมาสแล้ว ภิกษุเหล่านั้นได้รื้อกุฎีมุงบังด้วยหญ้า เก็บหญ้าและตัวไม้ไว้ แล้วหลีกไปสู่จาริกในชนบท
ส่วนพระธนิยะอยู่ ณ ที่นั้น ตลอดฤดูฝน ฤดูหนาวและฤดูร้อน และเมื่อเข้าไปบ้านเพื่อบิณฑบาต คนหาบหญ้า คนหาฟืน ได้รื้อกุฎีบังด้วยหญ้าเสีย แล้วขนหญ้าและไม้ไป เป็นเช่นนั้นถึงสามครั้ง
พระธนิยะจึงขยำโคลนทำกุฎีด้วยดินล้วนด้วยตนเอง โดยใช้หญ้า ไม้ และโคมัยมาเผากุฎีนั้นให้งดงาม น่าชม มีสีแดงเหมือนแมลงค่อมทอง
เมื่อพระพุทธองค์ทรงทราบได้ทรงติเตียนว่า ภิกษุทำกุฎีที่สำเร็จด้วยดินล้วนไม่เหมาะ ไม่สม ไม่ควร มิใช่กิจของสมณะ เป็นการเบียดเบียนหมู่สัตว์ ต้องอาบัติทุกกฎ แล้วโปรดให้ทำลายกุฎีเสีย
พระธนิยะจึงได้ไปขอบิณฑบาตไม้เพื่อทำกุฏิจากเจ้าพนักงานรักษาไม้ ซึ่งมีเพียงไม้ของหลวงที่สงวนไว้สำหรับซ่อมแปลงพระนคร เก็บไว้เพื่อใช้ในคราวมีอันตราย โดยพระธนิยะได้กล่าวตอบพนักงานรักษาไม้ว่า พระเจ้าแผ่นดินได้พระราชทานแล้ว
ครั้นเมื่อวัสสการพราหมณ์ออกตรวจราชการ ทราบความจึงได้กราบทูลถามพระเจ้าพิมพิสาร พระเจ้าพิมพิสารได้สอบถามพระธนิยะด้วยระลึกไม่ได้ว่าตนได้ถวายไม้ดังกล่าวเมื่อใด
พระธนิยะกล่าวว่า ครั้งพระเจ้าพิมพิสารเสด็จเถลิงถวัลยราชย์ใหม่ ๆ ได้ทรงเปล่งพระวาจาเช่นนี้ว่า “หญ้า ไม้ และน้ำ ข้าพเจ้าถวายแล้วแก่สมณะและพราหมณ์ทั้งหลาย ขอสมณะและพราหมณ์ทั้งหลายโปรดใช้สอยเถิด”
พระเจ้าพิมพิสาร จึงกล่าวว่า พระองค์หมายความถึงหญ้าไม้และน้ำอันอยู่ในป่า ไม่มีใครหวงแหน ด้วยเห็นว่าความรังเกียจแม้ในเหตุเล็กน้อยจะเกิดแก่สมณะและพราหมณ์ทั้งหลายที่เป็นผู้มีความละอาย มีความรังเกียจ ใคร่ต่อสิกขา แต่พระธนิยะนำไม้ที่เขาไม่ได้ให้ไปด้วยเลศ ขออย่าได้ทำอย่างนั้นอีก
ประชาชนพากันเพ่งโทษ ติเตียนโพนทะนา จนภิกษุทั้งหลายทราบความ จึงกราบทูลพระผู้มีพระภาคเจ้า
พระผู้มีพระภาคทรงประชุมสงฆ์ และทรงติเตียนท่านพระธนิยะ กุมภการบุตร แล้วได้ทรงถามภิกษุผู้เป็นมหาอำมาตย์ผู้พิพากษาเก่าว่า พระเจ้าพิมพิสารเมื่อจับโจรได้แล้ว ประหารชีวิตบ้าง จองจำไว้บ้าง เนรเทศบ้าง เพราะทรัพย์ประมาณเท่าไร ภิกษุรูปนั้นกราบทูลว่าเพราะทรัพย์บาทหนึ่งบ้าง เพราะของควรค่าบาทหนึ่งบ้าง เกินบาทหนึ่งบ้าง
ด้วยเหตุแรกเกิดนั้น พระผู้มีพระภาคจึงทรงบัญญัติพระปฐมบัญญัติสิกขาบท ว่าดังนี้
ภิกษุใดถือเอาทรัพย์อันเจ้าของไม่ได้ให้ ด้วยส่วนแห่งความเป็นขโมย พระราชาทั้งหลายจับโจรได้แล้วพึงประหารเสียบ้าง จองจำไว้บ้าง เนรเทศเสียบ้าง ด้วยบริภาษว่า เจ้าเป็นโจร เจ้าเป็นคนพาล เจ้าเป็นคนหลง เจ้าเป็นขโมย เพราะถือเอาทรัพย์อันเจ้าของไม่ได้ให้เห็นปานใด ภิกษุถือเอาทรัพย์อันเจ้าของไม่ได้ให้เห็นปานนั้น แม้ภิกษุนี้ก็เป็นปาราชิก หาสังวาสมิได้
อนุบัญญัติ พระฉัพพัคคีย์ การถือเอาทรัพย์อันเจ้าของไม่ได้ให้ด้วยส่วนแห่งความเป็นขโมยจากป่า
พระฉัพพัคคีย์ชวนกันไปสู่ลานตากผ้าของช่างย้อม ได้ลักห่อผ้าของช่างย้อม นำมาสู่อาราม แล้วแบ่งปันกัน
พระผู้มีพระภาคจึงกล่าวติเตียนและบัญญัติ พระอนุบัญญัติ ว่าดังนี้
ภิกษุใด ถือเอาทรัพย์อันเจ้าของไม่ได้ให้ด้วยส่วนแห่งความเป็นขโมย จากบ้านก็ดี จากป่าก็ดี พระราชาทั้งหลายจับโจรได้แล้ว ประหารเสียบ้าง จองจำไว้บ้าง เนรเทศเสียบ้าง ด้วยบริภาษว่า เจ้าเป็นโจร เจ้าเป็นคนพาล เจ้าเป็นคนหลง เจ้าเป็นขโมย ดังนี้ เพราะถือเอาทรัพย์อันเจ้าของไม่ได้ให้เห็นปานใด ภิกษุถือเอาทรัพย์อันเจ้าของไม่ได้ให้เห็นปานนั้น แม้ภิกษุนี้ ก็เป็นปาราชิก หาสังวาสมิได้
อ่าน ปาราชิกสิกขาบทที่ ๒