มรรค-ผล เป็นอย่างไร
รบกวนอาจารย์อธิบายเรื่อง มรรค ผลเพิ่มด้วยค่ะ
มรรค ผล คือสภาวะของการบรรลุธรรมที่แน่นอน ที่แน่นอนก็เพราะว่าจิตมันจะ transform ไปสู่สภาวะใหม่ที่ไม่มีวันกลับไปเหมือนเดิมได้ การเข้ามรรค ไม่ยากนัก โดยเฉพาะโสดาปัตติมรรค จริงๆ การเข้าโสดาเป็นแค่การเริ่มประจักษ์แจ้งว่าสิ่งทั้งปวงไม่เป็นตนจริง ๆ ต้องเรียกว่าดับสักกายทิฏฐิ สักกายทิฏฐิคือมีทัศนคติ หรือมีความเห็นว่า สิ่งนั้นเป็นตน สิ่งนี้เป็นตน นั่นคือสักกายทิฏฐิเป็นเรื่องของความคิดเห็นในทัศนคติ แต่ถ้าดับความคิดเห็นตัวนี้ได้สนิทแน่นอน ไม่มีวันกำเริบอีก บรรลุธรรมแล้ว ทันทีที่ดับได้หนึ่งตัว ดับตัวนี้ได้แน่นอน เข้ามรรค ถ้าจะเข้าผล ก็จะต้องละวิจิกิจฉา ความลังเลสงสัยในความบริสุทธิ์ ในพระนิพพาน ในพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ พอละความลังเลสงสัยได้ ศรัทธาจะเต็ม ศรัทธาจะเต็มเปี่ยมมาก พอศรัทธาเต็มเปี่ยมแล้วเอาศรัทธานี่แหละมา calibrate วิถีชีวิตของเราให้อยู่ในครรลองธรรม ทันทีที่ได้สองตัวนี้ต่อเนื่องมาอีก ก็เข้าผล เป็นโสดาปัตติผล ทีนี้ในทุกขั้นตอน โดยเฉพาะอย่างยิ่งในขั้นตอนแรกของการเกิดมรรค กับขั้นตอนของผล ทั้ง 3 ทั้ง 4 คือโสดา สกทา อนาคา อรหัตผล จะไม่ใช่เฉพาะการ transform ทางจิตใจเท่านั้น จะมีการปรับเปลี่ยนทางร่างกายขนานใหญ่ด้วย
เมื่อเรา transform ไปสู่มรรคก็ดี หรือ transform ไปสู่ผลก็ดี จิตมันจะเปลี่ยนไปแบบไม่กลับ จะมีกระบวนการล้างร่างกายครั้งใหญ่ บางคนอาจจะถ่ายออกมามาก อย่างเป็นไปไม่ได้ในภาวะปรกติ มันล้างขันธ์ บางคนอาจจะมีอาการเหมือนอะไรในใจมันขาด มันขาดเหมือนกับเชือกถูกดึงให้ขาด บางคนมีอาการระเบิดอยู่ภายใน คือสิ่งที่เราอัดอั้นสะสมไว้ มันถูกทลายออกไป สะสมไว้เป็นอะไร เป็นอารมณ์ เป็นตัวตน ซึ่งมันไม่ได้มีอยู่จริงพวกนี้ เป็นแค่เราไปยึด ๆ ยึด ๆ รวม ๆ กันไว้มันเลยเป็นกลุ่มก้อนความรู้สึก แล้วสิ่งเหล่านี้มันถูกระเบิดออกไป หรือทำให้มันขาดไป พอสิ่งเหล่านี้ขาดไป หรือสลายไป มันก็เลยมีผลกระทบไปที่ ร่างกาย เพราะกายนี้เป็นไปตามอำนาจใจ
ที่เรายังมีร่างกายยังอยู่ เพราะใจมันยังพะวงกับกายอยู่ ใจมันยังเสพกายอยู่ มันก็เลยมาอยู่กับกาย และเมื่อใจมันเสพกาย มันก็เอาพลังของตัวเองมาสร้างกาย มาสร้างยีนต่าง ๆ เราจะเห็นได้ว่ายีนมาจากโปรตีน 4 ตัว แต่เพราะแต่ละคนผสมกันในสัดส่วนที่ไม่เหมือนกันเลย 4 ตัวนี้ เพราะใจของแต่ละคนไม่เหมือนกัน มีปัญญา คุณธรรม ทั้งความโง่ไม่เหมือนกัน มันก็เลยมาสร้างยีนไม่เหมือนกัน ก็เลยออกมามีรูปร่างหน้าตาที่ต่างกัน ดังนั้น พอเราไปปรับที่ใจ มันก็เลยสะท้อนออกมาที่กายด้วย เราจะสังเกตว่าพอเราโกรธที่ใจ ร่างกายก็มีผลกระทบด้วย พอเรามีความสุข ความใสที่ใจ กายมันก็เบา บางทีกายมันเบาจนหายไปไหนก็ไม่รู้ เราไม่รู้สึกทางกาย มันก็มีผลกระทบกับกาย ออกมาแล้วตัวมันก็เบา ดังนั้นพอเราปรับเปลี่ยนสภาวะจิตไปถึงขั้นมรรค ผล ร่างกายก็เกิดการเปลี่ยนแปลงด้วย ชัดเจน ชัดเจนมาก
ดังนั้นตอนเข้ามรรคผล จึงเกิดปัจจเวกขณญาณรู้ชัดว่าเราดับตัวนี้ได้แล้วเช่นดับสักกายทิฏฐิได้แล้ว ดับวิจิกิจฉาได้แล้ว ความลังเลสงสัยไม่มีอีกโดยสิ้นเชิง คือใครจะมาบอกว่าพระพุทธเจ้าไม่มีจริง พระธรรมไร้สาระ มันไม่เข้ามาในสารบบของเราเลย มันแน่นอนขนาดนั้น หรือใครจะมาบอกว่า “เอ็งจงถอนคำพูดว่านับถือพระพุทธเจ้า ถ้าไม่ถอนคำพูดจะยิงให้ตาย” มันก็ถอนไม่ได้ มันแน่นอนอย่างนั้น คือมันเป็นปรกติธรรมชาติอย่างนั้นไปแล้ว รวมทั้งศีลด้วย
ดังนั้นการบรรลุมรรคผล ไม่ใช่เพียงแค่นั่งพิจารณาธรรม สิ่งเหล่านี้ไม่เป็นตนหนอ เข้าใจแล้ว แล้วบรรลุ ไม่ใช่นะ มันต้องเกิดการเปลี่ยนแปลงในจิตใจจริง ๆ ในร่างกายจริง ๆ แล้วเจ้าตัวจะรู้ว่าสิ่งนี้มันหายไป มันหายไปแบบไม่ปรากฏอีกเลย แล้วไม่สามารถเกิดขึ้นได้อีกแน่นอน และเป็นสิ่งที่นักปฏิบัติมีสิทธิ์ได้ทุกคน ถ้าทำแม่น ๆ
เราทุกคนควรเข้าสู่แดนปัตติมรรคให้ได้ เพราะมันไม่ยากเกินไป เพราะถ้าเราเกิดมาในยุคที่ไม่มีพระศาสนา เราจะไม่มีสิทธิ์ได้ มันไม่มีความรู้เหล่านี้ ไม่มีใครสอน ไม่มีใครปฏิบัติได้ อาจจะมีพระปัจเจกพระพุทธเจ้าปฏิบัติได้ แต่ท่านก็ไม่ได้สอน ท่านจะอยู่กันตามถ้ำ ตามป่า ดังนั้นนี่เป็นโอกาสทองโอกาสหนึ่งที่ควรจะเข้ามรรคผลกันไว้ เรามีสิทธิ์ หลายคนมีสิทธิ์