Main navigation

การสแกนกรรมมีจริงไหม และการแก้กรรมควรทำอย่างไร

Q ถาม :

ขอเรียนถามเรื่องของการสแกนกรรม ไม่ทราบว่ามีจริงหรือเปล่าคะ

A อาจารย์ไชย ณ พล ตอบ :

มีจริง แต่คนที่จะสแกนได้นั้นจะต้องได้ยถากัมมุตาญาณ หรือจุตูปปาตญาณ ซึ่งเป็นญาณที่ต่อเนื่องจากตาทิพย์ ถ้าได้ญาณนั้นจริงก็สแกนได้ ถ้าไม่ได้ญาณนั้นก็เดากันไปตามอาการ error มาก

 

ถาม

อยากทราบว่าเราควรไปสแกนกรรมไหมคะ

อาจารย์ไชย ณ พล

ดีที่สุดคือดูของตัวเอง สแกนเข้าไปในขันธ์ของเรานี่แหละ กรรมมันอยู่ใน ๓ ส่วน คือ ๑) ในผู้กระทำ ๒) ในผู้ถูกกระทำ และ ๓) ใน Super System ซึ่งเป็นทิพย์

ดังนั้น กรรมทุกตัวที่เกี่ยวข้องกับเรามันอยู่ในขันธ์ของเราทุกคน ดูเข้าไปในขันธ์ของเรานี่แหละ จะเห็น และเห็นตรงนี้มันจะไม่สงสัย ถ้าคนอื่นมาบอกว่าเราเป็นอย่างโน้นอย่างนี้ มันยังมีข้อกังขา เมื่อมีข้อกังขามันก็ไม่หลุด และบางทีสิ่งที่คนอื่นบอก มันก็น่ากังขาจริง ๆ ด้วย เพราะบางครั้งมันไม่ประกอบด้วยเหตุผล แต่ถ้าดูด้วยตัวเองได้ ดูเพราะของจริงอยู่ในตัวเอง เราเป็นเจ้าของกรรม มีสิทธิ์เห็นตรง ๆ เต็ม ๆ แต่ถ้าดูไม่ได้และจำเป็นต้องให้คนอื่นดูให้ ก็เลือกคนที่ได้ยถากัมมุตาญาณ หรือจุตูปปาตญาณเท่านั้น

 

ถาม

วิธีการเรื่องของการแก้กรรมต่าง ๆ นั้น ถ้าเราทำตามวิธีที่เค้าแนะนำ มันจะสามารถแก้กรรมได้จริงไหมคะ

อาจารย์ไชย ณ พล

กรรมแต่ละประเภทต้องการการแก้ที่ไม่เหมือนกัน อย่างเช่น กรรมฆ่าคนตาย มักจะต้องการบุญประเภทบวช กรรมประเภทกักขัง grounding ต้องการการปล่อยสัตว์ กรรมประเภททำให้คนอื่นหลงใหล ต้องแก้ด้วยสมาธิแล้วก็แผ่ฌาน แผ่ญาณไปให้คนเหล่านั้นเพื่อแก้ภาวะจิตของเค้าที่เราเคยทำให้เค้าหลง กรรมจากการยึดถือ ต้องแก้ด้วยการปล่อยวางตรง ๆ เป็นต้น

กรรมแต่ละประเภทต้องการกลไกการแก้ไม่เหมือนกัน และกรรมมันมีอยู่ ๒ ส่วนที่ต้องแก้กัน คือ กรรมส่วนหนึ่งเป็นกรรมที่เราทำต่อตัวเอง วิธีคิดของเราคือการกระทำต่อตัวเอง คิดบางอย่างแล้วเครียด เป็นไหม คิดบางอย่างแล้วสบายใจ แต่เราก็มักจะเผลอคิดในเรื่องที่ไม่สบายใจอยู่เรื่อย นี่เป็นการทำร้ายตัวเอง เป็นกรรมที่ทำต่อตัวเอง หรือการใช้ชีวิตที่ไม่เหมาะสมก็เป็นการประทุษร้ายตัวเอง เป็นกรรมที่เราจะต้องแก้ในตัวเองด้วยตัวเอง การปรับปรุงวิถีชีวิตให้อยู่ในมรรค การก้าวล่วงจากกรรม การล้างขันธ์ก็คือวิธีแก้กรรมเหล่านั้นได้

กรรมอีกชุดหนึ่ง คือกรรมที่มีเจ้ากรรมนายเวร จะมีอยู่สองคน เจ้ากรรมก็คือคนที่เราไปทำกับเค้าไว้ นายเวรคือผู้จัดสรรว่า อ้าว เจ้ากรรมคนนี้เข้ามาหาคนนี้ ในช่วงระยะเวลา ๗ วันนี้ จะทวงคืนอะไรก็ทวงนะ ถ้าหมด ๗ วันก็หมดวาระ หมดวาระก็เลยหมดเวรชุดนั้น ๆ ไป ดังนั้นภายใน ๗ วัน ถ้าทวงคืนไม่ได้ก็หมดสิทธิ์ทวงคืนในรอบนี้  ต้องไปเข้าคิวใหม่อีกนาน เพราะกรรมมันเยอะ ดังนั้นกรรมจึงมีวาระจึงเรียกว่าเวรกรรม คือกรรมที่มาตามเวรหรือเวลาที่นายเวรจัดสรรให้

ในกรณีแก้กรรมมีเจ้ากรรมนายเวร วิธีการที่ง่ายที่สุดคือเจรจา เจรจาขออโหสิกรรมกัน ถ้าขออโหสิกรรมไม่ได้ เพราะกรรมมันใหญ่ ก็อาจจะมีเงื่อนไขนะ เช่น เขาขอให้ไปบวชให้เค้า ๗ วัน หรือนั่งสมาธิให้เค้า ๓ วัน หรือทำสังฆทานแล้วแต่การเจรจา ดังนั้นวิธีแก้ก็ขึ้นอยู่กับการเจรจาต่อรองด้วย

นอกจากนั้น กรรมบางประเภทสามารถหลุดได้แม้เราไม่เจอเจ้ากรรมนายเวร ก็คือเราไปจัดระบบขันธ์ของเราใหม่ ล้างขันธ์ของเราให้สะอาด ก็จะแคล้วคลาดจากกรรมได้ เพราะอะไร

1) มันมีโหนด (Node) ของความเป็นผู้กระทำอยู่ในตัวเรา

2) โหนด (Node) ของความเป็นผู้ถูกกระทำอยู่

3) การบันทึกเจตนาอยู่ พระองค์เรียกว่า สัญเจตนา

ดังนั้น เมื่อ ๓ อันนี้สอดคล้องกัน กรรมชุดนั้นจึงจะ activate ถ้าเราเอาโหนดของความเป็นผู้กระทำออก แต่ในโหนดของผู้ถูกกระทำเขายังอยู่ และสัญเจตนายังอยู่ แต่มันหาโหนดในตัวเราไม่เจอ มันก็เลยแคล้วคลาดไปมา

การล้างกรรมที่ดีมากอีกวิธีหนึ่ง คือชำระขันธ์ของตัวเอง สังเกตดูสิพวกปฏิบัติมาก ๆ พอขันธ์สะอาดแล้ว กรรมที่เคยรับเป็นประจำก็ค่อย ๆ หายไป ๆ จากชีวิต กรรมบางอย่างก็หลุดไปได้ มีอยู่คนหนึ่งมาปฏิบัติที่นี่ ๕ วัน มาวันแรก ตัวเองก็ถือไม้เท้า เวลาขึ้นบันไดก็ต้องมีลูกหลานหิ้วปีก พอปฏิบัติจนถึงวันที่สี่ ไม่ต้องมีใครหิ้วปีกเลย เดินปร๋อเองเลย ก็ไม่ได้ไปช่วยอะไรเค้าหรอก เค้าชำระขันธ์ของเค้าเองด้วยสมาธิ ชำระไปเรื่อย ๆ ด้วยกระบวนการปฏิบัติ สี่วันก็เดินได้แล้ว เท่านั้นเอง ในการชำระขันธ์จึงเป็นวิธีแก้กรรมที่ cover หลายชุดของกรรม ซึ่งควรจะทำกันบ่อย ๆ

และหากชำระขันธ์จนถึงอริยภูมิ ทันทีที่บรรลุธรรมเป็นพระโสดาบัน จะตัดกรรมที่ทำให้ลงอบายได้ทั้งหมด ดังนั้น จึงบอกพวกเราเนือง ๆ ว่า ระบบธรรมนั้นใหญ่กว่าระบบกรรม ให้ปฏิบัติธรรมกันยิ่งขึ้นไปเป็นประจำ อย่าได้ย่อหย่อน