Main navigation

เมื่อไม่ทุกข์ไม่สุขในสมาธิควรทำอย่างไรต่อ

Q ถาม :

ถ้าเรานั่งอยู่ในสมาธิแล้วมันไม่มีสุขไม่มีทุกข์เข้ามา จิตเรานิ่งสงบตลอด และเราอยากให้เกิดปัญญาเราควรจะพิจารณาอะไรต่อไปครับ

A อาจารย์ไชย ณ พล ตอบ :

ตรงนี้สำคัญนะ ในขณะที่ไม่มีสุขไม่มีทุกข์นั้นจะเป็นได้อยู่ ๒ ภาวะ ภาวะหนึ่งเป็นอทุกขมสุขเวทนาคือมันเฉย ๆ อีกภาวะหนึ่งเป็นอุเบกขา จิตเป็นกลางโล่งมั่นอยู่ในจิตเองอยู่

อทุกขมสุขเวทนากับอุเบกขาต่างกันตรงที่ อทุกขมสุขเวทนา เฉย แต่มีผัสสะละเอียดภายใน ส่วนอุเบกขานั้นมันเป็นภาวะจิตที่สม่ำเสมอ จะเป็นจิตที่ทรงตัวดี มีความโล่ง โปร่ง ชัดเจน และถ้าได้อุเบกขาที่สมบูรณ์ถึงฌาน ๔ จะเห็นจิตธาตุ คือจะเห็นแสงของจิตเอง เมื่อถึงตรงนั้นทำจิตธาตุหรือทำแสงจิตนั่นแหละให้เข้มให้สว่างแล้วปัญญาก็จะเกิด  เกิดได้จากอะไรบ้าง

ประการที่ ๑ เกิดโดยอัตโนมัติ เหมือนเราลืมตาดูโน่นนี่ เราก็เข้าใจโน่นนี่นั่น นั่นก็เป็นเกิดอย่างหยาบตั้งแต่ข้างนอกแล้ว คราวนี้พอเราเข้าไปในจิตที่สว่าง จิตเห็นโน่นนี่มันก็เข้าใจ มันจะเข้าใจโดยที่ไม่มีภาษานะแต่มันเข้าใจ จิตเต็มไปด้วยความเข้าใจ ตรงนั้นเป็นญาณ เป็นความเข้าใจแจ่มแจ้ง นั่นประการที่หนึ่งคือมันจะรู้เอง พอสัมผัสอะไรมันก็รู้

ประการที่ ๒ เหมือนที่พระพุทธเจ้าสอนในวิชชา ๘ เมื่อได้ฌาน ๔ แล้ว มีสติบริสุทธิ์กอปรอุเบกขาแล้ว ให้โน้มน้อมจิตไปเพื่อการระลึกชาติ โน้มน้อมจิตไปเพื่อมโนมยิทธิ อันนี้ใช้การน้อมจิต แต่มันไม่ใช่การสั่งจิตนะ เป็นการมนสิการนิดเดียวอย่างเป็นธรรมชาติ เหมือนเราหันหน้าดูทิศต่าง ๆ เราก็น้อมจิตดูสัจจะต่าง ๆ แค่นั้นเอง  เมื่อจิตอยู่ในสมาธิมั่นมันก็จะเห็นชัด  แต่สั่งจิตนี่ ตัณหามันสั่ง ใช้ไม่ได้ ฝรั่งเขาไม่รู้จักฌานเขาพยายามใช้สั่งจิตกัน  นั่น low quality and many errors

ดังนั้น สิ่งแรกที่จะต้อง make sure ก่อนว่า เมื่อเราไม่มีสุขไม่มีทุกข์นั้นเป็นแค่อทุกขมสุขเวทนาหรือเปล่า ถ้ายังเป็นก็ให้รีบปล่อย ปล่อยแล้วไป focus ที่รู้ ๆ ๆ ๆ ๆ จนกระทั่งรู้สว่าง ทำรู้ให้เข้มสว่างใหญ่ แล้วขั้นต่อไปก็จะเป็นอุเบกขา ทรงให้มั่นคงต่อเนื่อง และน้อมดูสัจจะให้ได้ปัญญาต่อ  ได้ปัญญาแล้วก็น้อมสู่ความบริสุทธิ์หลุดพ้น