Main navigation

ถ้าจะดับอวิชชาสวะอย่างเดียว โดยไม่ดับกามาสวะ ทิฏฐาสวะ ภวาสวะ จะได้ผลหรือไม่

Q ถาม :

เรียนถามท่านอาจารย์ครับ ก่อนอื่นต้องขออภัยหากเป็นคำถามที่ไม่ควร คือที่พระพุทธเจ้าทรงบอกว่าอวิชชาเป็นอาสวะอันนี้ผมเข้าใจครับ แต่ผมแปลกใจว่า ทำไม กาม ทิฏฐิ ความเป็น จึงเป็นอาสวะด้วย เพราะดูเหมือนว่าเป็นธรรมดาโลก และโลกเราพัฒนามาด้วยพลังของสิ่งเหล่านี้ ถ้าผมจะดับอวิชชาสวะอย่างเดียวโดยไม่สนใจอาสวะอีกสามตัว จะได้ผลไหมครับ

ขอท่านอาจารย์ให้ความกระจ่างด้วยครับ ผมจะได้ตั้งใจปฏิบัติเต็มที่ ไม่ต้องละล้าละลัง เพราะเข้าใจว่าถ้าเราจัดการอาสวะได้ ทุกอย่างก็น่าจะจบ

A อาจารย์ไชย ณ พล ตอบ :

เพราะเป็นสิ่งคุ้นเคยนี่แหละจึงสะสมไว้มาก เมื่อมาก ก็กองสุมกันอยู่ในความทรงจำ (จิตใต้สำนึก) สร้างความคุ้นเคยจนเป็นพลังทำงานอัตโนมัติ (สัญชาตญาณ) แต่ทั้งหมดนั้นเป็นการปรุงแต่ง (จิตสังขาร) บีบเค้นโดยเหตุปัจจัยภายใน ภายนอก (ทุกขภาวะ) จึงแปรปรวนไปมา (อนิจจัง) ก่อให้เกิดทุกขเวทนา และสร้างหายนะต่อเนื่องมากมาย ไม่สุขแท้ ไม่บริสุทธิ์ และไม่อมตะ

กามาสวะ

สวะในใจกองนี้ทำให้หิวผัสสะทางตา หู จมูก ลิ้น กาย ทุกวันทุกคืน

ความหิว คือโรคสำหรับสวรรค์และมนุษย์สมัยมีอายุขัย 1 กัป แต่มนุษย์ยุคนี้เป็นโรคนี้กันเป็นส่วนใหญ่ จนเข้าใจผิดว่าเป็นเรื่องปกติ การที่ทุกคนติดเชื้อโควิด ไม่ได้หมายความว่าโควิดเป็นเรื่องปกติของชีวิต โควิดยังคงเป็นสิ่งแปลกปลอมที่ร่างกายไม่ต้องการ และต้องรีบเอาออก

หากไม่เอาออกจะเกิดอะไรขึ้น

ความเป็นทาสสิ่งเร้าแวดล้อมจะเกิดตามมา เช่น เป็นทาสความงาม เป็นทาสความอร่อย เป็นทาสความนุ่มนวล ความเป็นทาสคือถูกสิ่งเร้าใช้งานชีวิตให้ไปแสวงหา เสพสม รักษา หวงห่วง ป้องกัน กระทั่งต่อสู้ทำลายล้างกัน เช่น สงครามคลีโอพัตตรา ที่ทำให้อาณาจักรอียิปต์ล่มสลาย หรือสงครามเศรษฐกิจที่ทำให้เกิด economic crisis ไปทั่วโลกในยุคนี้

นั่นคือพิษสงของสวะกาม

ดังนั้น เพื่อสวัสดิภาพแห่งชีวิต และความบริสุทธิ์แห่งจิตใจ ควรเอากามาสวะออกให้สิ้น

ทิฏฐาสวะ

ทิฏฐิเป็นภาษาบาลี ภาษาสันสกฤตเป็นทฤษฎี ภาษาไทยใช้ทั้งบาลีและสันสกฤต

สวะในใจกองนี้ทำให้หิวข้อมูลข่าวสาร เอามาเป็นวัตถุดิบปรุงความคิดเห็น พ่นความคิดเห็นได้ทั้งวัน (เม้าท์มอย) ทั้งคืน (ฝัน) ทำให้ฟุ้งซ่าน ความฟุ้งซ่านคือโรคสำหรับพรหม แท้จริงแล้ว มนุษย์ต้นกัปก็เป็นเผ่าพันธ์ุพรหม มีสมาธิเหาะเหินเดินอากาศได้เป็นปกติ แต่มนุษย์ยุคนี้เป็นโรคฟุ้งซ่านกันเป็นส่วนใหญ่ จนสมาธิกระจุยกระจาย เหาะไม่ได้ พระผู้มีพระภาคจึงทรงเปรียบความฟุ้งซ่านว่าเป็นฝีในจิต (มะเร็งจิต) แต่มนุษย์ยุคนี้เข้าใจผิดว่าเป็นเรื่องปกติ การที่ทุกคนเป็นฝี ไม่ได้หมายความว่าฝีเป็นเรื่องปกติของชีวิต ฝียังคงเป็นสิ่งแปลกปลอมที่ร่างกายจิตใจไม่ต้องการ และต้องรีบเอาออก

หากไม่เอาออกจะเกิดอะไรขึ้น  

ความเป็นทาสข้อมูลข่าวสาร ความคิดเห็น ทฤษฎี (การคาดการณ์) จะเกิดตามมา ความเป็นทาสคือถูกความคิดเห็นของตนบ้างของคนอื่นบ้างใช้งานชีวิตให้ไปแสวงหา เสพสม รักษา หวงห่วง ป้องกัน กระทั่งต่อสู้ทำลายล้างกัน เช่น สงครามคอมมิวนิสต์กับทุนนิยม และสงครามข้อมูลข่าวสารทำลายล้างกันของพวกนักการเมือง ที่ทำลายความสงบสุขของสังคมไปสิ้น และทำระบบล่มสลายครั้งแล้วครั้งเล่าอยู่ทั่วโลก

นั่นคือพิษสงของสวะทิฏฐิ (ความคิดเห็น)

ดังนั้น เพื่อสวัสดิภาพแห่งชีวิต และความบริสุทธิ์แห่งจิตใจ ควรเอาทิฏฐาสวะออกให้สิ้น

ภวาสวะ

สวะในใจกองนี้ทำให้เข้าใจผิดคิดว่า ชีวิต กาย ความรู้สึก ความทรงจำ เจตนา และการรับรู้เป็นตน จึงเฝ้าสร้างตนให้เป็นอย่างนั้นอย่างนี้ เช่น ตนใหญ่ ตนเล็ก ตนสำคัญ ตนไม่สำคัญ ตนสูง ตนต่ำ ตัวตนคือโมหะใหญ่ที่สุดของจักรวาล เพราะมันไม่ได้มีอยู่จริง ขันธ์เป็นเพียงกระแสธรรมชาติที่ขับเคลื่อนไปตราบที่มีการยึดถือ เมื่อหมดการยึดถือ ขันธ์ห้าก็ดับสลายหายไปสิ้นเชิง ตัวตนเป็นสิ่งที่ไม่มีสำหรับพระอรหันต์ทั้งหลาย ซึ่งท่านสลายตัวตนสิ้นแล้ว จนพบสภาวะบรมสุข บรมว่าง

หากไม่เอาออกจะเกิดอะไรขึ้น

จิตจะปรุงตัวตนอันเป็นมายาขึ้นมายึดถือ แล้วจองจำจิตไว้ในตนที่ปั้นขึ้นมาเอง จากนั้นก็บ้าบอไปตามนิยามปั้นแต่ง กระทบทระทั่งกับอัตตาอื่นที่ต่างจากตน แย่งกันเด่นแย่งกันถูกแม้ผู้ที่นิยมตนเหมือน ๆ กัน เช่นสงครามครูเสดหกรอบ เพราะเกิดจากผู้ปั้นตนเป็นลูกพระเจ้า ต่างสำคัญตนว่าฉันเป็นลูกที่แท้จริง จึงแย่งสิทธิ์เหนือวิหารและดินแดนเยรูซาเล็ม ฆ่ากันตายไปหลายสิบล้านคน แถมโยนความผิดให้พระเจ้าว่าเป็นพระประสงค์ของพระเจ้า แถมประกาศอีกว่าพระเจ้าทรงสร้างทุกสิ่ง น่าสงสารพระเจ้ามากที่ถูกอัตตาของมนุษย์ทำลายอย่างไร้จิตสำนึก พระเจ้าไม่ได้สร้างสงครามแน่นอน ตัวตนของมนุษย์กัดกันเอง พระเจ้าไม่ได้สร้างกิเลสแน่นอน ตัวตนของมนุษย์ผลิตกิเลสขึ้นมาเอง หากพระเจ้าสร้างมนุษย์จริง มนุษย์ทุกคนเป็นลูกพระเจ้า แล้วคริสต์ อิสลาม ฮินดู พุทธ ซิกข์ จะเป็นคนต่างพวกได้อย่างไร ทุกคนคือพี่น้องกัน เพียงเรียนวิชาต่างกันเท่านั้น พระเจ้าไม่ได้แบ่งแยกมนุษย์เพราะการศึกษาแน่ อัตตาของมนุษย์แบ่งแยกกันเองเพราะไม่เข้าใจภารกิจของพระเจ้าจริง ซึ่งไม่เป็นธรรมต่อพระเจ้าพระพรหมเลย ความขัดแย้งระหว่างอัตตาปั้นแต่งของศาสนิกชนจะยังทำลายผู้มีตัวตนอีกนาน จนกว่าจะรู้จักพระเจ้าพระพรหมจริง แจ่มแจ้งสัจธรรมและภารกิจสวรรค์จริง และพัฒนาตนจริงจนสลายตัวตนได้สิ้น

นั่นคือพิษสงของสวะตัวตนปั้นแต่งให้เป็นต่าง ๆ

ดังนั้น เพื่อสวัสดิภาพแห่งชีวิต และความบริสุทธิ์แห่งจิตใจ ควรเอาภวาสวะออกให้สิ้น

อวิชชาสวะ

สวะในใจกองนี้ ทำให้ไม่รู้ความเป็นมาและความเป็นไปของวิวัฒนาการอันยาวนาน ไม่รู้ระบบเหตุปัจจัยแห่งการเกิดการดับของสรรพสิ่ง จึงหลงผิดว่า ทุกข์เป็นสุข อนัตตาเป็นอัตตา คุณเป็นโทษ โทษเป็นคุณ เหตุแห่งทุกข์ว่าเป็นเหตุแห่งสุข เหตุแห่งสุขว่าเป็นเหตุแห่งทุกข์ สภาวะบริสุทธิ์อันบรมสุข อมตะไม่มี ผู้บริสุทธิ์ไม่มี วิถีและวิธีไปสู่ความบริสุทธิ์ไม่มี จิตไม่มี ความเพียรไม่มีผล สวะกองนี้ให้ผลเลวร้ายที่สุดในบรรดาสวะทุกกอง เพราะผู้มีความหลงผิดถาวรเหล่านี้จะต้องไปอยู่ที่โลกันตนรกในที่มืดนอกจักรวาล เจอกันก็กัดกันกินจนตาย แล้วฟื้นคืนชีพขึ้นมาใหม่ เจอกันอีกก็กัดกินกันอีก เกิดแล้วตาย ตายแล้วเกิด อยู่ที่นั่นนานแสนนาน

หากไม่เอาออกจะเกิดอะไรขึ้น

อวิชชาสวะเป็นอันตรายที่สุดในสวะทั้งหมด เพราะความผิดจากสวะกองอื่นยังแค่ลงนรกในโลกนี้หรือจักรวาลนี้ มีอวิชชาสวะเท่านั้นที่ต้องออกนอกจักรวาลไปเลย (จักรวาลไม่ต้องการ) ไม่มีกำหนดเวลา แทบจะสิ้นโอกาสเปลี่ยนแปลงพัฒนา

นั่นคือพิษสงของสวะอวิชชา

ดังนั้น เพื่อสวัสดิภาพแห่งชีวิต และความบริสุทธิ์แห่งจิตใจ ควรเอาอวิชชาสวะออกให้สิ้น

เอาอวิชชาสวะออกอย่างเดียวได้ไหม

ได้ เอาออกได้หมดก็บรรลุธรรมเลย

แต่ปัญหาคือ อวิชชาอยู่ลึกกว่าจิตตสังขาร เหมือนปุ่มปลายสุดของรากแก้ว เห็นได้ยาก จะเห็นได้ต้องเด็ดพวงดอกระย้ากามาสวะออก ตัดกิ่งก้านทิฏฐาสวะออก ตัดต้นภวาสวะออก ขุดรากจิตปรุงแต่งจนสุด จึงพบอวิชชา พอพบอวิชชาด้วยปัญญาญาณในสมาธิแล้ว ก็ดับได้ด้วยกำลังสติวิราคะในสมาธิ ดับแล้ว ก็ถึงที่สุดแห่งวิวัฒนาการ จบปัญหาทั้งปวง