ภิกษุผู้ประทุษร้ายตระกูล
สมัยที่พระผู้มีพระภาคปรับทับอยู่ ณ เชตวัน นครสาวัตถี ภิกษุอลัชชีพวกพระอัสสชิและพระปุนัพพสุกะ เป็นเจ้าถิ่นในกิฎาคีรีชนบท ประพฤติอนาจารต่างๆ ดังนี้ คือ
ปลูกไม้ดอกบ้าง ใช้ให้ผู้อื่นปลูกบ้าง เก็บเองบ้าง ให้ผู้อื่นเก็บเองบ้าง ร้อยดอกไม้ ทำช่อดอกไม้ ทำมาลัยเองบ้าง ให้ผู้อื่นร้อยบ้าง ทำช่อดอกไม้บ้าง ทำมาลัยบ้าง นำไปใช้เพื่อสตรีเองบ้าง ให้ผู้อื่นนำไปใช้เพื่อสตรีบ้าง
ฉันอาหารในภาชนะเดียวกันดื่มน้ำในขันใบเดียวกัน นั่งบนอาสนะอันเดียวกัน นอนบนเตียงอันเดียวกัน นอนร่วมเครื่องลาดอันเดียวกัน นอนคลุมผ้าห่มผืนเดียวกัน นอนร่วมเครื่องลาดและคลุมผ้าห่มร่วมกันบ้างกับสตรี
ฉันอาหารในเวลาวิกาล ดื่มน้ำเมา ทัดทรงดอกไม้ ของหอม และเครื่องลูบไล้ ฟ้อนรำ ขับร้อง เต้นรำเองบ้าง กับหญิงฟ้อนรำบ้าง เล่นหมากรุก เล่นหมากเก็บบ้าง เล่นชิงนาง เล่นหมากไหว เล่นโยนห่วง เล่นสะกา เล่นเป่าใบไม้ เล่นหกคะเมน เล่นไม้กังหัน เล่นตวงทราย เล่นรถ เล่นธนู เล่นเขียนทาย เล่นทายใจ เล่นเลียนคนพิการ หัดขี่ช้าง หัดขี่ม้า หัดขี่รถ หัดยิงธนู หัดเพลงอาวุธ วิ่งผลัดช้าง ผลัดม้าบ้าง ผลัดรถบ้าง วิ่งขับกันบ้าง วิ่งเปี้ยวกันบ้าง ผิวปากบ้าง ปรบมือบ้าง ปล้ำกันบ้าง ชกมวยกันบ้าง พูดกับหญิงฟ้อนรำว่า เธอจงฟ้อนรำที่นี้บ้าง ให้การคำนับบ้าง
สมัยนั้น ภิกษุรูปหนึ่งจำพรรษาในแคว้นกาสี เดินทางไปพระนครสาวัตถีเพื่อเฝ้าพระผู้มีพระภาค ถึงชนบทกิฏาคีรีแล้ว ครั้นเวลาเช้า ภิกษุนั้นครองอันตรวาสก ถือบาตรและจีวร เข้าไปบิณฑบาต มีอาการเดินไป ถอยกลับ แลเหลียว เหยียดแขน คู้แขน น่าเลื่อมใสมีจักษุทอดลง สมบูรณ์ด้วยอิริยาบถ คนทั้งหลายเห็นภิกษุรูปนั้นแล้ว พูดว่า
ภิกษุรูปนี้เป็นใคร ดูคล้ายคนไม่ค่อยมีกำลังเหมือนคนอ่อนแอ เหมือนคนขมวดคิ้วก้มหน้า ใครจักถวายบิณฑบาตแก่ภิกษุรูปนั้น ส่วนพวกพระอัสสชิและพระปุนัพพสุกะของพวกตนอ่อนโยน พูดเพราะ อ่อนหวาน ยิ้มแย้มก่อน มักพูดว่า มาเถิด มาดีแล้ว ไม่ก้มหน้า มีหน้าชื่นบาน มักทักทายก่อน ใคร ๆ ก็ต้องถวายบิณฑบาตแก่ภิกษุเหล่านั้น
อุบาสกคนหนึ่งเห็นภิกษุรูปนั้นกำลังเที่ยวบิณฑบาตอยู่ จึงเข้าไปหาภิกษุนั้น กราบเรียนถามภิกษุว่าได้บิณฑบาตหรือยัง เมื่อทราบว่ายังไม่ได้ จึงนิมนต์ภิกษุรูปนั้นไปที่เรือนเพื่อฉัน อุบาสกนั้นขอให้ภิกษุรูปนั้นกราบทูลพระผู้มีพระภาคว่า วัดในชนบทกิฏาคีรีโทรม ภิกษุพวกพระอัสสชิและพระปุนัพพสุกะเป็นเจ้าถิ่น เป็นภิกษุอลัชชี ประพฤติอนาจารต่าง ๆ เมื่อก่อนชาวบ้าน ยังมีศรัทธาเลื่อมใส แต่เดี๋ยวนี้เขาไม่ศรัทธาไม่เลื่อมใสแล้ว แม้ทานประจำของสงฆ์ก่อน ๆ บัดนี้ ทายกทายิกาได้ตัดขาดแล้ว ภิกษุมีศีลเป็นที่รักย่อมหลีกเลี่ยงไป ภิกษุเลวทรามอยู่ครอง ขอให้พระผู้มีพระภาคส่งภิกษุมายังกิฏาคีรีชนบท เพื่อวัดชนบทกิฏาคีรีนี้จะพึงตั้งมั่นอยู่
เมื่อภิกษุรูปนั้นถึงพระนครสาวัตถีแล้ว ก็ได้กราบทูลเรื่องราวทั้งหมดแก่พระผู้พระภาค
พระผู้มีพระภาคจึงทรงสอบถามภิกษุทั้งหลาย เมื่อภิกษุทั้งหลายกราบทูลว่าเป็นเรื่องจริง พระผู้มีพระภาคทรงติเตียนว่า การกระทำของภิกษุโมฆบุรุษเหล่านั้น ไม่เหมาะสม ไม่ควร ไม่ใช่กิจของสมณะ ใช้ไม่ได้ ไม่ควรทำ ไม่เป็นไปเพื่อความเลื่อมใสของชุมชนที่ยังไม่เลื่อมใส หรือเพื่อความเลื่อมใสยิ่งของชุมชนที่เลื่อมใสแล้ว โดยที่แท้ การกระทำของโมฆบุรุษเหล่านั้นนั่น เป็นไปเพื่อความไม่เลื่อมใสของชุมชนที่ยังไม่เลื่อมใส และเพื่อความเป็นอย่างอื่นของชนบางพวกที่เลื่อมใสแล้ว
แล้วทรงให้พระสารีบุตรและพระโมคคัลลานะไปกิฎาคีรีชนบททำปัพพาชนียกรรมกับภิกษุเหล่านั้นเพราะภิกษุเหล่านั้นเป็นสัทธิวิหาริกของพระสารีบุตรและพระโมคคัลลานะ
โดยให้โจทภิกษุพวกพระอัสสชิและพระปุนัพพสุกะก่อน ครั้นแล้ว ให้พวกภิกษุเหล่านั้นให้การ ครั้นแล้ว พึงยกอาบัติขึ้น ครั้นแล้ว ภิกษุผู้ฉลาด ผู้สามารถ พึงประกาศให้สงฆ์ทราบด้วยญัตติจตุตถกรรมวาจา ว่าดังนี้
กรรมวาจาทำปัพพาชนียกรรม
ท่านเจ้าข้า ขอสงฆ์จงฟังข้าพเจ้า ภิกษุพวกพระอัสสชิและพระปุนัพพสุกะเหล่านี้ เป็นผู้ประทุษร้ายสกุล มีความประพฤติเลวทราม ความประพฤติเลวทรามของภิกษุเหล่านี้ เขาได้เห็น อยู่ด้วย เขาได้ยินอยู่ด้วย และสกุลทั้งหลายอันภิกษุเหล่านี้ประทุษร้ายแล้ว เขาได้เห็นอยู่ด้วย เขาได้ยินอยู่ด้วย ถ้าความพร้อมพรั่งของสงฆ์ถึงที่แล้ว สงฆ์พึงทำปัพพาชนียกรรมแก่ภิกษุพวกพระอัสสชิและพระปุนัพพสุกะจากชนบทกิฏาคีรีว่า ภิกษุพวกพระอัสสชิและพระปุนัพพสุกะไม่พึงอยู่ ในชนบทกิฏาคีรี นี่เป็นญัตติ
ญัตตินี้ชอบแก่ท่านผู้ใด ท่านผู้นั้นพึงนิ่ง ไม่ชอบแก่ท่านผู้ใด ท่านผู้นั้นพึงพูด แม้ครั้งที่สอง แม้ครั้งที่สาม
เมื่อพระสารีบุตรและพระโมคคัลลานะทำปัพพาชนียกรรมกับภิกษุพวกพระอัสสชิและพระปุนัพพสุกะแล้ว ไม่ประพฤติโดยชอบ ไม่หายเย่อหยิ่ง ไม่ประพฤติแก้ตัว ไม่ขอขมาภิกษุทั้งหลาย ยังด่า ยังบริภาษการกสงฆ์ ใส่ความว่าลำเอียงด้วยความพอใจ ลำเอียงด้วยความขัดเคือง ลำเอียงด้วยความหลง ด้วยความกลัว หลีกไปเสียก็มี สึกเสียก็มี
บรรดาภิกษุที่เป็นผู้มักน้อย สันโดษ มีความละอาย มีความรังเกียจ ผู้ใคร่ต่อสิกขา ต่างพากันเพ่งโทษ ติเตียน โพนทะนาว่าเหตุไรภิกษุพวกพระอัสสชิและพระปุนัพพสุกะ ถูกสงฆ์ทำปัพพาชนียกรรมแล้ว จึงไม่ประพฤติโดยชอบ ไม่หายเย่อหยิ่ง ไม่ประพฤติแก้ตัว ไม่ขอขมาภิกษุทั้งหลาย ยังด่า ยังบริภาษการกสงฆ์ ยังใส่ความว่า ลำเอียงด้วยความพอใจ ลำเอียงด้วยความขัดเคือง ลำเอียงด้วยความหลง ลำเอียงด้วยความกลัว หลีกไปเสียก็มี สึกเสียก็มี
เมื่อพระผู้มีพระภาคทรงทราบเรื่องราวแล้ว ทรงติเตียนการกระทำของภิกษุโมฆบุรุษเหล่านั้น แล้วตรัสโทษแห่งความเป็นคนเลี้ยงยาก ความเป็นคนบำรุงยาก ความเป็นคนมักมาก ความเป็นคนไม่สันโดษ ความคลุกคลี ความเกียจคร้าน ตรัสคุณแห่งความเป็นคนเลี้ยงง่าย ความเป็นคนบำรุงง่าย ความมักน้อย ความสันโดษ ความขัดเกลา ความกำจัด อาการที่น่าเลื่อมใส การไม่สะสม การปรารภความเพียร โดยอเนกปริยายแล้ว ทรงกระทำธรรมีกถาที่สมควรแก่เรื่องนั้นแก่ภิกษุทั้งหลาย แล้วรับสั่งกะภิกษุทั้งหลายว่า
แล้วทรงบัญญัติสิกขาบทแก่ภิกษุทั้งหลาย อาศัยอำนาจประโยชน์ ๑๐ ประการ คือ
เพื่อความรับว่าดีแห่งสงฆ์ ๑
เพื่อความสำราญแห่งสงฆ์ ๑
เพื่อข่มบุคคลผู้เก้อยาก ๑
เพื่ออยู่สำราญแห่งภิกษุผู้มีศีลเป็นที่รัก ๑
เพื่อป้องกันอาสวะอันจะบังเกิดในปัจจุบัน ๑
เพื่อกำจัดอาสวะอันจักบังเกิดในอนาคต ๑
เพื่อความเลื่อมใสของชุมชนที่ยังไม่เลื่อมใส ๑
เพื่อความเลื่อมใสยิ่งของชุมชนที่เลื่อมใสแล้ว ๑
เพื่อความตั้งมั่นแห่งพระสัทธรรม ๑
เพื่อถือตามพระวินัย ๑
พระบัญญัติ
อนึ่ง ภิกษุเข้าไปอาศัยบ้านก็ดี นิคมก็ดี แห่งใดแห่งหนึ่งอยู่ เป็นผู้ประทุษร้ายสกุล มีความประพฤติเลวทราม ความประพฤติเลวทรามของเธอ เขาได้เห็นอยู่ด้วย เขาได้ยินอยู่ด้วย และสกุลทั้งหลายอันเธอประทุษร้ายแล้ว เขาได้เห็นอยู่ด้วย เขาได้ยินอยู่ด้วย ภิกษุนั้นอันภิกษุทั้งหลายพึงว่ากล่าวอย่างนี้ว่า ท่านเป็นผู้ประทุษร้ายสกุล มีความประพฤติเลวทราม ความประพฤติเลวทรามของท่าน เขาได้เห็นอยู่ด้วย เขาได้ยินอยู่ด้วย และสกุลทั้งหลายอันท่านประทุษร้ายแล้ว เขาได้เห็นอยู่ด้วย เขาได้ยินอยู่ด้วย ท่านจงหลีก ไปเสียจากอาวาสนี้ ท่านอย่าอยู่ในที่นี้
และภิกษุนั้นอันภิกษุทั้งหลายว่ากล่าวอยู่อย่างนี้ ว่าภิกษุเหล่านั้นอย่างนี้ว่า พวกภิกษุถึงความพอใจด้วย ถึงความขัดเคืองด้วย ถึงความหลงด้วย ถึงความกลัวด้วย ย่อมขับภิกษุบางรูป ย่อมไม่ขับภิกษุบางรูป เพราะอาบัติ เช่นเดียวกัน
ภิกษุนั้นอันภิกษุทั้งหลายพึงกล่าวอย่างนี้ว่า ท่านอย่าได้กล่าวอย่างนั้น ภิกษุทั้งหลายหาได้ถึงความพอใจไม่ หาได้ถึงความขัดเคืองไม่ หาได้ถึงความหลงไม่ หาได้ถึงความกลัวไม่ ท่านเองแล เป็นผู้ประทุษร้ายสกุล มีความประพฤติเลวทราม ความประพฤติเลวทรามของท่าน เขาได้เห็นอยู่ด้วย เขาได้ยินอยู่ด้วย และสกุลทั้งหลายอันท่านประทุษร้ายแล้ว เขาได้เห็นอยู่ด้วย เขาได้ยินอยู่ด้วย ท่านจงหลีกไปเสียจากอาวาสนี้ ท่านอย่าอยู่ในที่นี้
และภิกษุนั้นอันภิกษุทั้งหลายว่ากล่าวอยู่อย่างนี้ ยังยกย่องอยู่อย่างนั้น ภิกษุนั้นอันภิกษุทั้งหลายพึงสวดสมนุภาสกว่าจะครบสามจบเพื่อให้สละกรรมนั้นเสีย หากเธอถูกสวดสมนุภาสกว่าจะครบสามจบอยู่ สละกรรมนั้นเสีย สละได้อย่างนี้ นั่นเป็นการดี หากเธอไม่สละเสีย เป็นสังฆาทิเสส