เศรษฐีชื่อพิฬาลปทกะ
ผู้ที่ให้ทานด้วยตน แต่ไม่ชักชวนผู้อื่น ย่อมได้โภคสมบัติ แต่ไม่ได้บริวารสมบัติ
ผู้ที่ไม่ให้ทานด้วยตน ชักชวนแต่คนอื่น ย่อมได้บริวารสมบัติ แต่ไม่ได้โภคสมบัติ
ผู้ที่ไม่ให้ทานด้วยตนด้วย ไม่ชักชวนคนอื่นด้วย ย่อมไม่ได้โภคสมบัติ ไม่ได้บริวารสมบัติ
ผู้ที่ให้ทานด้วยตนด้วย ชักชวนคนอื่นด้วย ย่อมได้ทั้งโภคสมบัติและบริวารสมบัติ
พระพุทธเจ้าทรงแสดงธรรมแก่พิฬาลปทกะเศรษฐีว่า
ขึ้นชื่อว่าบุญ ไม่ควรดูหมิ่นว่า นิดหน่อย อันบุคคลถวายทานแก่ภิกษุสงฆ์ มีพระพุทธเจ้าเช่นเราเป็นประธานแล้ว ไม่ควรดูหมิ่นว่า 'เป็นของนิดหน่อย.' ด้วยว่า บุรุษผู้บัณฑิต ทำบุญอยู่ ย่อมเต็มไปด้วยบุญโดยลำดับแน่แท้ เปรียบเหมือนภาชนะที่เปิดปาก ย่อมเต็มไปด้วยน้ำ ฉะนั้น.
บุคคลไม่ควรดูหมิ่นบุญว่า 'บุญมีประมาณน้อย จักไม่มาถึง' แม้หม้อน้ำยังเต็มด้วยหยาดน้ำที่ตกลงมาได้ฉันใด ผู้มีปัญญาสั่งสมบุญแม้ทีละน้อย ๆ ย่อมเต็มด้วยบุญได้ฉันนั้น.
เมื่อพระพุทธเจ้าแสดงธรรมจบ พิฬาลปทกะเศรษฐี บรรลุโสดาปัตติผล