Main navigation

หลักการตรวจสอบจิตที่พ้นจากอาสวะ

Q ถาม :

เมื่อมีภิกษุรูปใดกล่าวว่าตนเป็นพระอรหันต์ ภิกษุพึงทำอย่างไร

A พระพุทธเจ้า ตอบ :

พระผู้มีพระภาคตรัสว่า

หากมีภิกษุใดพยากรณ์ตนในอรหัตตผลว่า ข้าพเจ้ารู้ชัดว่า ชาติสิ้นแล้ว พรหมจรรย์อยู่จบแล้ว กิจที่ควรทำได้ทำเสร็จแล้ว กิจอื่นเพื่อความเป็นอย่างนี้มิได้มี

พวกเธอก็อย่าเพิ่งยินดี อย่าเพิ่งคัดค้านคำกล่าวของภิกษุนั้น

ครั้นไม่ยินดี ไม่คัดค้านแล้ว พึงถามปัญหาเธอว่า

โวหารอันพระผู้มีพระภาคตรัสไว้ชอบ นี้มี ๔ ประการ คือ คำกล่าวว่า

เห็นในอารมณ์ที่ตนเห็นแล้ว
ได้ยินในอารมณ์ที่ตนฟังแล้ว
ทราบในอารมณ์ที่ตนทราบแล้ว
รู้ชัดในอารมณ์ที่ตนรู้ชัดแล้ว

นี้แล โวหาร ๔ ประการอันพระผู้มีพระภาคพระองค์นั้นตรัสไว้ชอบ

ก็จิตของท่านรู้อยู่ เห็นอยู่อย่างไร จึงหลุดพ้นจากอาสวะ ไม่ยึดมั่นในโวหาร ๔ นี้

ภิกษุผู้สิ้นอาสวะแล้ว พึงมีธรรมอันสมควรจะพยากรณ์ว่า จิตของตนรู้อยู่ เห็นอยู่ ดังนี้ว่า

ข้าพเจ้าไม่ยินดี ไม่ยินร้าย อันกิเลสไม่อาศัย ไม่พัวพัน พ้นวิเศษแล้ว พรากได้แล้ว ในธรรมที่ข้าพเจ้าได้เห็น ได้ยิน ได้ทราบ ได้รู้ชัด มีใจอันปราศจากเขตแดนได้แล้วอยู่

คำกล่าวของภิกษุรูปนั้น พวกเธอควรชื่นชม อนุโมทนาว่า สาธุ ครั้นแล้วพึงถามปัญหาให้ยิ่งขึ้นไปว่า

อุปาทานขันธ์อันพระผู้มีพระภาคตรัสไว้ชอบ มี ๕ คือ

รูปูปาทานขันธ์ เวทนูปาทานขันธ์ สัญญูปาทานขันธ์ สังขารูปาทานขันธ์ วิญญาณูปาทานขันธ์

ก็จิตของท่านรู้อยู่อย่างไร เห็นอยู่อย่างไร จึงหลุดพ้นจากอาสวะ ไม่ยึดมั่นในอุปาทานขันธ์ ๕ นี้

ภิกษุผู้สิ้นอาสวะแล้ว พึงมีธรรมอันสมควรจะพยากรณ์ว่า จิตของตนรู้อยู่ เห็นอยู่ ดังนี้ว่า

ข้าพเจ้าได้รู้แจ้งรูป เวทนา สัญญา สังขาร วิญญาณแล้วว่า ไม่มีกำลัง ปราศจากความน่ารัก มิใช่เป็นที่ตั้งแห่งความชื่นใจ จึงทราบชัดว่า จิตหลุดพ้นแล้วเพราะสิ้น สำรอก ดับ สละ และสลัดคืนซึ่งอุปาทานขันธ์ที่ยึดมั่นขันธ์ ๕ นั้นได้ และอนุสัยคือความตั้งใจและความปักใจมั่นในรูป เวทนา สัญญา สังขาร วิญญาณนั้นได้ 

คำกล่าวของภิกษุรูปนั้น พวกเธอควรชื่นชม อนุโมทนาว่า สาธุ ครั้นแล้วพึงถามปัญหาให้ยิ่งขึ้นไปว่า 

ธาตุอันพระผู้มีพระภาคตรัสไว้ชอบ มี ๖ ประการ คือ

ปฐวีธาตุ อาโปธาตุ เตโชธาตุ วาโยธาตุ อากาสธาตุ วิญญาณธาตุ ดูกรท่านผู้มีอายุ นี้แลธาตุ ๖ ประการ

ก็จิตของท่านรู้อยู่อย่างไร เห็นอยู่อย่างไร จึงหลุดพ้นจากอาสวะ ไม่ยึดมั่นในธาตุ ๖ นี้

ภิกษุผู้สิ้นอาสวะแล้ว พึงมีธรรมอันสมควรจะพยากรณ์ว่า จิตของตนรู้อยู่ เห็นอยู่ ดังนี้ว่า

ข้าพเจ้าเป็นผู้ครองปฐวีธาตุ อาโปธาตุ เตโชธาตุ วาโยธาตุ อากาสธาตุ วิญญาณธาตุ โดยความเป็นอนัตตา มิใช่ครองอัตตาอาศัยธาตุ ๖ นี้เลย จึงทราบชัดว่า จิตหลุดพ้นแล้ว เพราะสิ้น สำรอก ดับ สละ และสลัดคืนซึ่งอุปาทานขันธ์ที่ยึดมั่นธาตุทั้ง ๖ นั้น และอนุสัยคือความตั้งใจและความปักใจมั่นอาศัยธาตุทั้ง ๖ นั้นได้

คำกล่าวของภิกษุรูปนั้น พวกเธอควรชื่นชม อนุโมทนาว่า สาธุ ครั้นแล้วพึงถามปัญหาให้ยิ่งขึ้นไปว่า

ก็อายตนะภายใน อายตนะภายนอก อันพระผู้มีพระภาคตรัสไว้ชอบ มีอย่างละ ๖ คือ

จักษุและรูป
โสตและเสียง
ฆานะและกลิ่น
ชิวหาและรส
กายและโผฏฐัพพะ
มโนและธรรมารมณ์

นี้แลอายตนะภายใน อายตนะภายนอกอย่างละ ๖

ก็จิตของท่านรู้อยู่อย่างไร เห็นอยู่อย่างไร จึงหลุดพ้นจากอาสวะ ไม่ยึดมั่นในอายตนะภายใน อายตนะภายนอก อย่างละ ๖ นี้

ภิกษุผู้สิ้นอาสวะแล้ว พึงมีธรรมอันสมควรจะพยากรณ์ว่า จิตของตนรู้อยู่ เห็นอยู่ดังนี้ว่า

จิตหลุดพ้นแล้ว เพราะสิ้น สำรอก ดับ สละ และสลัดคืนซึ่งความพอใจ ความกำหนัด ความยินดี ตัณหา อุปาทานที่ยึดมั่น และอนุสัย คือความตั้งใจและความปักใจมั่น

ในจักษุ ในรูป ในจักษุวิญญาณ และในธรรมที่พึงรู้แจ้งด้วยจักษุวิญญาณ 

ในโสต ในเสียง ในโสตวิญญาณ และในธรรมที่พึงรู้แจ้งด้วยโสตวิญญาณ

ในฆานะ ในกลิ่น ในฆานวิญญาณ และในธรรมที่พึงรู้แจ้งด้วยฆานวิญญาณ

ในชิวหา ในรส ในชิวหาวิญญาณ และในธรรม ที่พึงรู้แจ้งด้วยชิวหาวิญญาณ 

ในกาย ในโผฏฐัพพะ ในกายวิญญาณ และในธรรมที่พึงรู้แจ้งด้วยกายวิญญาณ 

ในมโน ในธรรมารมณ์ ในมโนวิญญาณ และในธรรมที่พึงรู้แจ้งด้วยมโนวิญญาณ

คำกล่าวของภิกษุรูปนั้น พวกเธอควรชื่นชม อนุโมทนาว่า สาธุ ครั้นแล้วพึงถามปัญหาให้ยิ่งขึ้นไปว่า 

ก็เมื่อท่านรู้อยู่ เห็นอยู่อย่างไร จึงถอนอนุสัยคือความถือตัวว่าเป็นเรา ว่าของเรา ในกายอันมีวิญญาณนี้ และในนิมิตทั้งหมดในภายนอกได้ด้วยดี

ภิกษุผู้สิ้นอาสวะแล้ว พึงมีธรรมอันสมควรจะพยากรณ์ว่า

เมื่อก่อนตนเป็นผู้ครองเรือน ครั้นได้ฟังธรรม จึงได้ความเชื่อในพระตถาคต พิจารณาเห็นว่าฆราวาสคับแคบ เป็นทางแห่งธุลี บรรพชาเป็นช่องว่าง เรายังอยู่ครองเรือนจะประพฤติพรหมจรรย์ให้บริสุทธิ์ บริบูรณ์โดยส่วนเดียว นี้ไม่ใช่ทำได้ง่าย พึงออกจากเรือนบวชเป็นบรรพชิต

ข้าพเจ้าเมื่อเป็นผู้บวชแล้วอย่างนี้ ถึงพร้อมด้วยสิกขาสาชีพของภิกษุทั้งหลาย

ข้าพเจ้าได้เป็นผู้สันโดษด้วยจีวรเป็นเครื่องบริหารกาย และบิณฑบาตเป็นเครื่องบริหารท้องเป็นผู้สันโดษ

ข้าพเจ้าประกอบด้วยศีลขันธ์ของพระอริยะเช่นนี้แล้ว จึงได้เสวยสุขอันปราศจากโทษภายใน

ประกอบด้วยอินทรียสังวรของพระอริยะ ถึงความสำรวมในจักขุนทรีย์ โสตินทรีย์ ฆานินทรีย์ ชิวหินทรีย์ กายินทรีย์ มนินทรีย์ ซึ่งบุคคลผู้ไม่สำรวมอยู่ พึงถูกอกุศลธรรมอันลามกคืออภิชฌาและโทมนัสครอบงำได้

ข้าพเจ้าประกอบด้วยอินทรียสังวรของพระอริยะเช่นนี้แล้ว จึงได้เสวยสุขอันไม่เจือทุกข์ภายใน

ได้เป็นผู้ทำความรู้สึกตัวในเวลาก้าวไปและถอยกลับ ในเวลาแลดูและเหลียวดู ในเวลางอแขนและเหยียดแขน ในเวลาทรงผ้าสังฆาฏิ บาตร และจีวร ในเวลาฉัน ดื่ม เคี้ยว และลิ้ม ในเวลาถ่ายอุจจาระและปัสสาวะ ในเวลาเดิน ยืน นั่ง นอนหลับ ตื่น พูด และนิ่ง

ข้าพเจ้าประกอบด้วยสติสัมปชัญญะของพระอริยะเช่นนี้แล้ว จึงได้พอใจเสนาสนะอันสงัด กลับจากบิณฑบาต ภายหลังเวลาอาหารแล้ว นั่งคู้บัลลังก์ ตั้งกายตรง ดำรงสติมั่นเฉพาะหน้า

ชำระจิตให้บริสุทธิ์จากอภิชฌา พยาบาท ถีนมิทธะ อุทธัจจกุกกุจจะ วิจิกิจฉา อันเป็นเครื่องทำใจให้เศร้าหมอง ทำปัญญาให้ถอยกำลัง

จึงได้สงัดจากกาม สงัดจากอกุศลธรรม เข้าปฐมฌาน ทุติยฌาน ตติยฌาน จตุตถฌาน

ข้าพเจ้าเมื่อจิตเป็นสมาธิ บริสุทธิ์ผุดผ่อง ไม่มีกิเลสเครื่องยียวน ปราศจากอุปกิเลส เป็นจิตอ่อนโยน ควรแก่การงาน ตั้งมั่น ถึงความไม่หวั่นไหว จึงน้อมจิตไปเพื่ออาสวักขยญาณ และได้รู้ชัดตามเป็นจริงว่า นี้ทุกข์ นี้เหตุให้เกิดทุกข์ นี้ที่ดับทุกข์ นี้ปฏิปทาให้ถึงที่ดับทุกข์

ย่อมรู้ชัดตามเป็นจริงว่า เหล่านี้อาสวะ นี้เหตุให้เกิดอาสวะ นี้ที่ดับอาสวะ นี้ปฏิปทาให้ถึงที่ดับอาสวะ

เมื่อข้าพเจ้ารู้อย่างนี้ เห็นอย่างนี้ จิตก็หลุดพ้นแม้จากกามาสวะ แม้จากภวาสวะ แม้จากอวิชชาสวะ เมื่อจิตหลุดพ้นแล้ว ได้มีญาณรู้ว่า หลุดพ้นแล้ว รู้ชัดว่า ชาติสิ้นแล้ว พรหมจรรย์อยู่จบแล้ว กิจที่ควรทำได้ทำเสร็จแล้ว กิจอื่นเพื่อความเป็นอย่างนี้มิได้มี

เมื่อข้าพเจ้ารู้อยู่ เห็นอยู่อย่างนี้ จึงถอนอนุสัยคือความถือตัวว่าเป็นเรา ว่าของเรา ในกายอันมีวิญญาณนี้ และในนิมิตทั้งหมดในภายนอกได้ด้วยดี

คำกล่าวของภิกษุรูปนั้น พวกเธอควรชื่นชม อนุโมทนาว่า สาธุ ครั้นแล้วพึงกล่าวแก่ภิกษุรูปนั้นอย่างนี้ว่า

เป็นลาภของพวกข้าพเจ้า พวกข้าพเจ้าได้ดีแล้ว ที่พิจารณาเห็นท่านผู้มีอายุเช่นตัวท่านเป็นสพรหมจารี

 

 

คำที่เกี่ยวข้อง :

อรหันต์ พยากรณ์