Main navigation

บุคคลพึงให้ทานในที่ไหน

Q ถาม :

พระเจ้าปเสนทิโกศลกราบทูลถามพระผู้มีพระภาคว่า ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ ทาน บุคคลพึงให้ในที่ไหนหนอแล

A พระพุทธเจ้า ตอบ :

พระเจ้าปเสนทิโกศลประทับนั่ง ณ ที่ควรส่วนข้างหนึ่งแล้วได้กราบทูลพระผู้มีพระภาคว่า

ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ ทาน บุคคลพึงให้ในที่ไหนหนอแล

ดูกรมหาบพิตร จิตย่อมเลื่อมใสในที่ใด พึงให้ในที่นั้นแล

ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ และทานที่ให้แล้วในที่ไหนจึงมีผลมาก

ดูกรมหาบพิตร ทานพึงให้ในที่ไหนนั่นเป็นข้อหนึ่ง และทานที่ให้แล้วในที่ไหนจึงมีผลมาก นั่นเป็นอีกข้อหนึ่ง

 

ทานที่ให้แล้วแก่ผู้มีศีลมีผลมาก ทานที่ให้แล้วในผู้ทุศีลหามีผลมากไม่ และด้วยเหตุนั้น อาตมภาพจักย้อนถามมหาบพิตรในปัญหากรรมข้อนั้นบ้าง มหาบพิตรพอพระทัยอย่างใด พึงพยากรณ์อย่างนั้น

มหาบพิตรจะสำคัญความข้อนั้นเป็นไฉน

ณ ที่นี้การยุทธ (สงคราม) พึงปรากฏเฉพาะหน้าแด่พระองค์ สงครามพึงปะทะกัน ถ้าว่ากุมารที่เป็นกษัตริย์ พราหมณ์ แพศย์ ศูทร ผู้ไม่ได้ศึกษา ไม่ได้หัดมือ ไม่ได้รับความชำนาญ ไม่ได้ประลองการยิง เป็นคนขลาด เป็นคนมักสั่น เป็นคนมักสะดุ้ง เป็นคนมักวิ่งหนี พึงมาอาสาไซร้ พระองค์พึงทรงชุบเลี้ยงบุรุษนั้นหรือ และพระองค์พึงทรงต้องการบุรุษเช่นนั้นหรือ

ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ ข้าพระองค์ไม่พึงชุบเลี้ยงบุรุษเช่นนั้น และข้าพระองค์ไม่ต้องการบุรุษเช่นนั้นเลย

ดูกรมหาบพิตร พระองค์จะทรงสำคัญความข้อนั้นเป็นไฉน

ถ้าว่ากุมารที่เป็นกษัตริย์ พราหมณ์ แพศย์ ศูทร ผู้ศึกษาดีแล้ว ได้หัดมือแล้ว ได้รับความชำนาญแล้ว ได้ประลองการยิงมาแล้ว ไม่เป็นคนขลาด ไม่เป็นคนสั่น ไม่เป็นคนสะดุ้ง ไม่เป็นคนมักวิ่งหนี พึงมาอาสาไซร้ พระองค์พึงทรงชุบเลี้ยงบุรุษนั้นหรือ และพระองค์พึงทรงมีพระประสงค์บุรุษเช่นนั้นหรือ

ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ หม่อมฉันพึงชุบเลี้ยงบุรุษนั้น และหม่อมฉันพึงต้องการบุรุษเช่นนั้น

ฉันนั้นนั่นแล มหาบพิตร

แม้หากว่า กุลบุตรออกจากเรือนตระกูลไร ๆ เป็นผู้บวชหาเรือนมิได้ และกุลบุตรนั้นเป็นผู้มีองค์ ๕ อันละได้แล้ว เป็นผู้ประกอบแล้วด้วยองค์ ๕ ทานที่ให้แล้วในกุลบุตรนั้น ย่อมเป็นทานมีผลมาก

องค์ ๕ อันกุลบุตรนั้นละได้แล้ว เป็นไฉน

กามฉันทะอันกุลบุตรนั้นละได้แล้ว
พยาบาทอันกุลบุตรนั้นละได้แล้ว
ถีนมิทธะอันกุลบุตรนั้นละได้แล้ว
อุทธัจจกุกกุจจะอันกุลบุตรนั้นละได้แล้ว
วิจิกิจฉาอันกุลบุตรนั้นละได้แล้ว

องค์ ๕ เหล่านี้อันกุลบุตรนั้นละได้แล้ว

กุลบุตรนั้นเป็นผู้ประกอบด้วยองค์ ๕ เป็นไฉน

กุลบุตรนั้นเป็นผู้ประกอบแล้วด้วยศีลขันธ์อันเป็นของพระอเสขะ

เป็นผู้ประกอบแล้วด้วยสมาธิขันธ์อันเป็นของพระอเสขะ

เป็นผู้ประกอบแล้วด้วยปัญญาขันธ์อันเป็นของพระอเสขะ

เป็นผู้ประกอบแล้วด้วยวิมุตติขันธ์อันเป็นของพระอเสขะ

เป็นผู้ประกอบแล้วด้วยวิมุตติญาณทัสสนขันธ์อันเป็นของพระอเสขะ

กุลบุตรนั้นเป็นผู้ประกอบแล้วด้วยองค์ ๕ เหล่านี้

ทานที่ให้แล้วในกุลบุตรผู้มีองค์ ๕ อันละได้แล้ว ผู้ประกอบแล้วด้วยองค์ ๕ ดังนี้ ย่อมมีผลมาก

พระผู้มีพระภาคผู้พระสุคตศาสดา ครั้นตรัสไวยากรณ์ภาษิตนี้จบลงแล้ว จึงได้ตรัสคาถาประพันธ์ต่อไปอีกว่า

ศิลปะการยิงแม่น กำลังเข้มแข็ง และความกล้าหาญมีอยู่ในชายหนุ่มผู้ใด พระราชาผู้ทรงพระประสงค์ด้วยการยุทธ
พึงทรงชุบเลี้ยงชายหนุ่มเช่นนั้น ไม่พึงทรงชุบเลี้ยงชายหนุ่มผู้ไม่กล้าหาญ เพราะเหตุแห่งชาติ ฉันใด

ธรรมะคือขันติ และโสรัจจะ ตั้งอยู่แล้วในบุคคลใด บุคคลพึงบูชาบุคคลนั้นผู้มีปัญญา มีความประพฤติเยี่ยงพระอริยะ
แม้มีชาติทราม ฉันนั้นเหมือนกัน

พึงสร้างอาศรมอันเป็นที่รื่นรมย์ ยังผู้พหูสูตทั้งหลายให้สำนักอยู่ ณ ที่นั้น

พึงสร้างบ่อน้ำไว้ในป่าที่กันดารน้ำ และสะพานในที่เป็นหล่ม

พึงถวาย ข้าว น้ำ ของเคี้ยว ผ้า และเสนาสนะในท่านผู้ซื่อตรงทั้งหลาย ด้วยน้ำใจอันผ่องใส

เมฆมีสายฟ้าแลบแปลบปลาบ มียอดตั้งร้อย กระหึ่มอยู่ ยังแผ่นดินให้โชกชุ่มอยู่ ย่อมยังที่ดอนและที่ลุ่มให้เต็ม แม้ฉันใด

ทายก (ผู้ให้) ผู้มีศรัทธา เป็นบัณฑิตได้ฟังแล้ว ย่อมจัดหาโภชนาหารมาเลี้ยงวณิพกด้วยข้าวน้ำให้อิ่มหนำ บันเทิงใจ เที่ยวไปในโรงทาน สั่งว่า ท่านทั้งหลายจงให้ ท่านทั้งหลายจงให้ ดังนี้ และทายกนั้นบันลือเสียงเหมือนเสียงกระหึ่มแห่งเมฆ เมื่อฝนกำลังตก ฉะนั้น

ธารแห่งบุญอันไพบูลย์นั้น ย่อมยังทายก (ผู้ให้) ให้ชุ่มชื่น

 

 

 

ที่มา
อิสสัตถสูตร พระไตรปิฎก ฉบับหลวง เล่มที่ ๑๕ ข้อที่ ๔๐๕-๔๑๐