Main navigation

เครื่องรางมงคลและการอาราธนาสิ่งศักดิ์สิทธิ์เป็นที่พึ่ง

Q ถาม :

เนื่องจากระยะหนึ่งเครื่องประดับสายมูได้รับความนิยมมาก ถ้าเราในฐานะที่เป็นนักธุรกิจและนับถือพระรัตนตรัยเป็นที่พึ่งอันสูงสุด ไม่ต้องการปลุกเสกโดยเฉพาะเทพเจ้าองค์ต่าง ๆ เราควรจะพัฒนาสินค้าให้ได้รับความนิยมแบบสายมูอย่างไรดีคะ และใช้คาถาของพระพุทธเจ้าดีหรือไม่คะ เช่น ถ้าอยากรวยก็ต้องท่องและทำตามคาถา อุ อา กะ สะ ประมาณนี้ค่ะท่านอาจารย์

A อาจารย์ไชย ณ พล ตอบ :

คืออย่างนี้นะ การที่เราจะอาราธนาใครมาคุ้มครองชีวิตเรา เราก็ดูที่อานุภาพของท่าน ก็สแกนดูในความมีอยู่เป็นอยู่ทั้งหมด ใครอานุภาพสูงสุด พระพุทธเจ้าอานุภาพสูงสุด พระปัจเจกพุทธเจ้ารองลงมา พระอรหันต์รองลงมา พระเจ้าหรือพรหมทั้งหลาย พรหมส่วนใหญ่จะตั้งตนเป็นพระเจ้า เพราะว่าอานุภาพท่านมหาศาลในจักรวาล เนรมิตอะไรก็ได้ ก็เลยตั้งตนเป็นพระเจ้ากัน นั่นก็จะอานุภาพรองลงมา แล้วจากนั้นก็เทวดาชั้นต่าง ๆ ก็อานุภาพรองลงมา ครุฑ ยักษ์ นาค คนธรรพ์ พวกนี้คืออานุภาพรองลงมา หมายถึงอานุภาพที่จะบันดาล อานุภาพที่จะเป็นสรณะเป็นที่พึ่ง อานุภาพที่จะปกปักษ์รักษาก็จะเป็นตามลำดับนี้

แต่เมื่อมีหลายลำดับอย่างนี้ ยังมีรสนิยมที่แตกต่าง อย่างพระพุทธเจ้า พระปัจเจกพุทธเจ้า พระอรหันต์ ส่วนใหญ่ท่านจะยินดีรักษาคุ้มครองผู้ที่รักษาศาสนา รักษาศีลธรรม ปฏิบัติธรรม ถ้าเป็นพวกนี้ท่านจะ blessing เต็มที่ คุ้มครอง อำนวยความสะดวก และเป็นสรณะที่พึ่งได้หลายด้าน หลายระดับ หลายเรื่อง แต่ถ้ากิเลสจัด ๆ ท่านไม่สนใจ

อย่างการขออาราธนาพระพุทธเจ้า ขอให้ลูกได้รางวัลที่หนึ่ง หรือขอให้ลูกไปทำสงครามแล้วชนะ ขอให้ชนะพรรคคู่แข่ง ท่านไม่ยุ่ง นั่นเป็นเรื่องของกิเลส

แต่ถ้าระดับพรหม ท่านจะชอบดลบันดาลให้กับพวกที่ชอบเกื้อกูล อยากช่วยมหาชน อยากช่วยพระศาสนา พวกที่อยากสงเคราะห์ส่วนรวมทั้งหลาย พรหมจะชอบไปดลบันดาล ทำไมท่านจึงดลบันดาล เพราะถ้าท่านไปดลบันดาลให้พวกนี้ ท่านอยู่ข้างบนท่านก็ได้บุญด้วย เหมือนเราเป็นคนทำแต่ท่านเป็นคนส่งพลังมาให้เรา ดังนั้น เราทำไปท่านก็ได้ด้วย ท่านก็เลยชอบกัน

ถ้าเป็นระดับเทพ เทพแต่ละองค์ก็จะมีทักษะต่าง ๆ กันไป อย่างพระอินทร์ก็จะมีฤทธิ์มาก มีอานุภาพมาก พระกฤษณะก็จะเก่งเรื่องการก่อสร้าง พระศิวะก็จะเก่งเรื่องจิตฌานสมาบัติฤทธิ์ กามเทพก็จะเก่งเรื่องความรัก ซึ่งเทพแต่ละองค์ แต่ละภูมิ ก็จะมีความเก่งไม่เหมือนกัน และมีรสนิยมไม่เหมือนกัน

ดังนั้น เราก็เลือกดูว่าเราจะอยากอาราธนาใครมาเป็นพี่เลี้ยง มาเป็น personal advisor คอยเป็น guardian angel (เทพอารักษ์) ให้แก่เรา ตอนที่เราเกิด ระบบก็จัดเทพอารักขามาให้แล้วคนละองค์เป็นอย่างน้อย บางทีก็อยู่นาน บางทีก็อยู่ไม่นานแล้วแต่ว่าเราทำตัวน่าเบื่อแค่ไหน ถ้าเราทำตัวดี ท่านก็อยู่นาน แล้วก็จะมีเทพอาสามาเพิ่มอีก ถ้าเราทำตัวน่าเบื่อบางทีองค์เดียวก็ไม่ยอมอยู่ หรือถ้าองค์เดียวแล้วชีวิตยังไม่ดีขึ้น เราอยากจะเพิ่ม guardian angel เข้ามาอีกก็อาราธนาได้ แต่ท่านจะยอมมาเพิ่มเมื่อเราทำความดียิ่งใหญ่เท่านั้น

อาราธนาจำเป็นต้องใช้เครื่องประดับมูหรือไม่

ความเป็นจริงไม่มีความจำเป็น ท่านคือจิตในภูมิต่างๆ ก็ใช้จิตนั่นแหละสื่อกับท่าน เพราะท่านเป็นทิพย์กันทั้งหมด ใช้ทิพย์คุยกับทิพย์เลย จะง่ายมาก แต่ถ้าจิตของตัวเองก็ยังไม่เห็น ก็ทำให้ไม่เห็นจิตอื่น ๆ พอไม่เห็นจิตอื่น ๆ วัตถุในโลกไม่ใช่สื่อใด ๆ ที่จะส่งถึงท่านได้ ได้แค่เพียงเป็นเครื่องเตือนสติให้ระลึกถึงท่านเท่านั้น

แต่อะไรที่คุ้มค่าที่สุดหล่ะ จริง ๆ แล้วที่คุ้มค่าที่สุดคือจิตเราเอง ทำจิตของเรานี่แหละให้บริสุทธิ์ ศักดิ์สิทธิ์ มีพลัง แล้วเราจะเป็นที่พึ่งของตัวเองได้ เราจะเป็นที่พึ่งให้คนอื่นได้ สมัยผมเด็ก ๆ ที่บ้านก็มีพระดี ๆ เยอะ ผู้ใหญ่ก็ให้มา ผมก็มาคล้อง แต่พอฝึกจิตไปสักพัก ได้สมาธิจริง ๆ พอจิตเรานิ่ง จิตเราสงบ จิตเราตั้งมั่น ใหญ่ ผ่องใส มันไม่อยากเลย มันไม่อยากเสพสิ่งเหล่านี้เลย พระดี ๆ แพง ๆ ให้เค้าหมดเลย แหวนก็ให้เค้าหมด ไม่เก็บไว้เลย มันไม่เอา ตรงนี้สำคัญมาก ตรงนี้ทำให้เราพึ่งตัวเองได้ เราเป็นที่พึ่งให้คนอื่นได้ แต่ถ้าคนไม่ได้จิตที่ดี ใจที่ดี ก็ถือว่าเป็นเครื่องมือเล็ก ๆ น้อย ๆ แต่อย่าไปใช้เบ่งกับใครเป็นอันขาดนะ

มีเรื่องจริง ตอนผมบวชใหม่ ๆ ก็ออกธุดงค์คนเดียวไปตามป่าเขา และวัดป่าที่ปฏิบัติธรรม ช่วงหนึ่งไปเจอพระปฏิบัติเข้ม พระอาวุโสท่านก็เมตตาเรามาก พาไปปฏิบัติตามถ้ำเฮี้ยน ๆ ต่าง ๆ หลายถ้ำ มีที่ถ้ำหนึ่งชื่อถ้ำเทวดา ขึ้นชื่อลือชาไม่มีใครกล้าไปปฏิบัติ วันนั้นเราตัดสินใจไปกันสามองค์ พอไปถึงก็แยกกันปฏิบัติ และนอนกันคนละมุม พอกางกลด พระเถระก็เอาของขลังมาแขวนเต็มไปหมด ทั้งพระเครื่อง ตะกรุด ยันต์ พร้อมบอกว่าวิญญาณอย่ามายุ่งนะ ฉันมีของดีนะ พระเถระรองลงมาก็บอกว่าผมมีคาถาดี เดี๋ยวดื่มฉี่ด้วยวิญญาณไม่กล้ายุ่ง แถมเอาฉี่ของท่านมาให้เราดื่มด้วย บอกตรง ๆ ดื่มไม่ลง ก็เอาฝาบาตรใส่ฉี่ของท่านมาแตะปากนิดหน่อยแต่ไม่ดื่ม ส่งคืนท่านไป เราพระใหม่ไม่มีของขลัง ไม่มีคาถาอาคม ไม่ดื่มฉี่ มีแต่จิตใจดีที่สงบสุข ต่างคนต่างแยกย้ายกันปฏิบัติ พอปฏิบัติเสร็จ เราก็นอนในกลด ตื่นมาตอนเช้ามืดเพื่อจะมาปฏิบัติตามปกติ เห็นพระเถระทั้งสองงุ่มง่ามกันอยู่ เก็บของที่กระจัดกระจาย พอเราออกจากกลด พระเถระท่านก็บอกว่าท่านไม่ได้นอนเลย โดนตบกลดกระจุยกระจายสามรอบ นี่รอบที่สาม พระเถระรองก็สะดุ้งลุกมาช่วยกันเก็บของ

เห็นไหม พระเถระที่มีของขลังมากมายโดนสั่งสอน พระเถระรองมีมนต์และดื่มฉี่สะดุ้งลุกมาช่วยเก็บของทั้งสามรอบ ส่วนเราพระใหม่ไม่มีอะไรสักอย่าง เพราะสละไปหมดแล้ว อาคมก็ไม่มี ฉี่ก็ไม่ได้ดื่ม มีแต่จิตดีที่สงบสุขอย่างเดียว หลับสบายเลย เลือกเอาจะเอาแบบไหน

 

ถามต่อ

อาจารย์คะแล้วเราในฐานะที่ทำธุรกิจแบบนี้ (เครื่องประดับมู) จะถือว่าเป็นการผิดศีลหรือติดกรรมอะไรไหมคะ

อาจารย์ไชย ณ พล ตอบ

จะผิดศีลและติดกรรมในกรณีที่

๑. มันไม่เป็นจริง หมายความว่าถ้าเราอาราธนาแล้วท่านไม่มาจริง ไม่ศักดิ์สิทธิ์จริงตามที่โฆษณา อย่างเช่น เวลาผลิตพระแม่กวนอิมหนึ่งหมื่นเส้น พระแม่กวนอิมจะทำอย่างไร ทีเดียวหมื่นคนพร้อมกัน พระแม่กวนอิมมาไม่ไหว คนโฆษณาก็จะผิดศีล

๒. ถ้าศักดิ์สิทธิ์จริง มันก็ไม่ถึงขั้นผิดศีล แต่อาจเป็นกรรมเบียดเบียน ใช้พระแม่กวนอิมมากขนาดนั้น ดังนั้น เป็นกรรมที่เบียดเบียนเทพเทวาเพื่อทรัพย์ของตนเองโดยไม่สมควร

ดังนั้น จะผิดศีลหรือไม่ ขึ้นอยู่กับมันได้ผลจริงตามที่ประชาสัมพันธ์หรือไม่ จะเป็นกรรมเมื่อไปเบียดเบียนเทพเทวาอย่างไม่สมควร ถ้าจะทำจริง ๆ ก่อนทำควรขออนุญาตท่านก่อน ท่านอนุญาตแล้ว จึงทำได้ตามจำนวนที่ท่านกำหนด ท่านหมายถึงท่านที่เราอ้างอิงความศักดิ์สิทธิ์นะ ไม่ใช่หลวงปู่หลวงพ่อใด ๆ ขืนทำอย่างนั้น พระท่านนั้น ๆ ก็ติดบ่วงกรรม และผิดศีลไปด้วย เราก็ทั้งรบกวนเทพเทวาด้วย รบกวนพระด้วย ซวยสองชั้นเลย

ดังนั้น ฝึกจิตของเราให้ถึงพระรัตนตรัยก่อน ถึงเทพเทวาก่อน แล้วค่อยคิดสงเคราะห์เพื่อนมนุษย์ อย่างนี้จะดีที่สุด ได้ผลที่สุด ปลอดภัยที่สุด เป็นประโยชน์ต่อเพื่อนมนุษย์จริง