Main navigation

การทำงานด้วยสติปัญญาบนมาตรฐานอริยสัจ

Q ถาม :

เห็นท่านอาจารย์ประกาศในไลน์ว่า จะไม่ให้คนทำงานที่ไม่มี solution ร่วมโปรเจ็ค เป็นการกำราบบางคน หรือ apply for all ครับ ผมเพิ่งมาร่วมงานบางส่วน ถ้าเผลอพลาดไป พออะลุ่มอล่วยได้บ้างไหมครับ

A อาจารย์ไชย ณ พล ตอบ :

Apply for all ครับ

เพราะงานทุกชนิดเริ่มจากปัญหาว่าทำไปเพื่ออะไร ควรทำไหม ทำแล้วคุ้มไหม หากงานนั้นควรและคุ้มที่จะทำแล้ว ปัญหาต่อมาคือ จะทำอย่างไรให้สำเร็จด้วยดี เมื่อเริ่มลงมือทำแล้ว จะพบตัวแปรที่ควบคุมไม่ได้ และเหตุการณ์ที่ไม่คาดอยู่เรื่อย ๆ ก็ต้องแก้ปัญหาไปโดยลำดับ ซึ่งต้องมี solution ตลอดทาง จึงจะบริหารจัดการให้ลุล่วงได้ หากเป็นคนไม่มี solution ก็ให้โอกาสพัฒนาตนอย่างมากสามครั้งตามมาตรฐานพระพุทธเจ้า คือ

ครั้งที่ 1 เตือน

ครั้งที่ 2 ไม่ให้ร่วมประชุม

ครั้งที่ 3 ไม่ให้ร่วมกิจกับหมู่คณะ

ถ้ายังไม่เจริญปัญญาได้อย่างมีนัยยะสำคัญ ก็ต้องให้ออกไป คนที่ออกไปแล้ว ล้วนเป็นคนที่มีอวิชชามากกว่าปัญญาทั้งสิ้น

สัจธรรม

พระพุทธองค์ทรงบัญญัติว่า การไม่รู้อริยสัจ คือ อวิชชา ได้แก่

ไม่รู้ทุกข์ โดยความเป็นทุกข์ (ปัญหา)

ไม่รู้สมุทัย โดยความเป็นเหตุต้นตอปัญหา

ไม่รู้นิโรธ โดยความเป็นภาวะไร้ทุกขสมุทัย (prevention system)

ไม่รู้มรรค โดยความเป็นกระบวนการออกจากทุกขสมุทัยสู่นิโรธ (smart solution)

สิ่งใหม่ที่พระพุทธเจ้ามอบให้แก่โลก ก็คือการมอบ นิโรธ และมรรคนี่เอง

ส่วนทุกข์และสมุทัยนั้น ชาวโลกรู้กันมานานแล้ว แต่ไม่รู้จะทำยังไงเพราะไม่เห็นนิโรธ ชาวโลกส่วนหนึ่งจึงยอมจำนนต่อทุกข์ ชาวโลกส่วนหนึ่งพยายามแก้ไข แต่ก็ใช้วิธีกลบเกลื่อนทุกข์ จึงแก้ไม่ถูกรากเหง้า ชาวโลกอีกส่วนหนึ่งพยายามปรับแต่งสมุทัยให้เป็นสุข แต่ยิ่งแต่งสมุทัยก็ยิ่งทุกข์ สร้างวิกฤติครั้งแล้วครั้งเล่าดังที่ปรากฏในโลกปัจจุบัน จึงจมวนเวียนอยู่ในวัฏฏะอันน่าสงสารไม่รู้จบ 

อย่าทำงานด้วยอวิชชา 

คนทำงานด้วยอวิชชาจะไม่มี prevention system & smart solution แม้จะรู้ปัญหา ก็ป้องกันหรือออกจากปัญหาไม่ได้ จึงเป็นอวิชชา ดังนั้นต้องมี prevention system & smart solution จึงจะมีปัญญา เป็นที่พึ่งให้แก่ตน และแก่คนอื่นได้

จะเกิดอะไรขึ้น เมื่อทุกคนทำงานด้วยอวิชชา

1. คนที่ทำงานด้วยอวิชชา จะมีแต่ปัญหา ไม่มี solution เป็นคนที่ไม่สามารถทำกิจได้ ขืนทำไป ตัวเองก็จะเครียด 

2. เมื่อชี้แต่ปัญหา ไม่มี solution ก็จะสร้างความหวาดวิตกในหมู่คณะ ทำให้ไม่กล้าตัดสินใจ งานไม่เดิน งานง่ายกลายเป็นงานยาก จึงเป็นคนประสาทในทีมงาน นำไปสู่ความล้มเหลว 

3. การเห็นปัญหา (ทุกข์) โดยไม่เห็น solution (มรรค) เป็นอวิชชา อวิชชาเป็นพญากิเลส ให้กำเนิดกิเลสอื่นทั้งปวง เป็นสิ่งที่มีพิษร้าย ทำลายสุขภาพจิต สุขภาพกาย สุขภาพสัมพันธ์ สุขภาพกรรม นักชี้ปัญหาที่ไร้ solution จึงเป็นผู้แพร่ระบาดพิษอวิชชา เป็นตัวอันตรายต่อทุกคน 

4. คนที่ทำงานด้วยอวิชชาจนเคยชิน นอกจากจะไม่สร้างความสำเร็จให้ภารกิจแล้ว ยังสร้างปัญหาอีกมากหลายด้าน ยิ่งทำก็ยิ่งบาป ตัวเองก็ยิ่งเสื่อมทรุด ตกต่ำ 

5. คนเมาอวิชชาจะชำนาญในการปรุงแต่งปัญหาที่ไม่เป็นจริง หรือเชื่อมโยงปัญหามั่วจนยุ่งเหยิงไปหมด แก้อะไรไม่ได้ สร้างจินตนาการหลอน (บ้า) คนพวกนี้ทั้งหมดไม่เห็นรากเหง้าที่แท้จริงของปัญหาว่า คือ กิเลสของตนเอง อยู่ที่ไหนก็เป็นตัวปัญหา เป็นที่รังเกียจ ทำให้หมู่คณะแตกแยก ภารกิจล้มเหลว ชีวิตจิตใจตนก็ร่วง ลงอบาย 

คนที่มีลักษณะนิสัยและพฤติกรรมเช่นนี้เป็นมนุษย์เจ้าปัญหา เพื่อความปลอดภัยของเขาเองและหมู่คณะ จึงให้ทำงาน หรือเข้าหมู่ไม่ได้

จงทำงานด้วยสติปัญญา 

แท้จริงแล้ว ทุกปัญหามีนิโรธ ภาวะปลอดภัยเสมอ และมีทางออกจากปัญหา (มรรค) เสมอ เพียงเปิดปัญญามอง prevention system (นิโรธ) และ smart solution (มรรค) ก็จะเห็นได้

จะเกิดอะไรขึ้น เมื่อทุกคนทำงานด้วยปัญญา 

1. ทุกคนจะเสนอนิโรธตามสติปัญญาของตน ทีมงานจะได้ช่วยกันประเมินว่า นิโรธไหนปลอดภัยโดยสวัสดิภาพ ไร้ปัญหาเบ็ดเสร็จที่สุด (prevention system) 

2. ทุกคนจะสร้างสรรค์มรรค (solution) ตามสติปัญญาของตน ทีมงานจะได้ช่วยกันประเมินว่า solution ใด smart ที่สุด จะได้นำไปปฏิบัติ  

3. การทำเช่นนี้ สติปัญญาของทุกคนจะบรรเจิดงอกงาม จิตใจร่าเริงใน smart solution หลากหลาย การงานจะเป็นเรื่องสนุก และสำเร็จได้จริง 

4. คนที่ทำงานด้วยสติปัญญา จะทำให้งานก้าวหน้า สำเร็จผลดีที่สุดที่เป็นไปได้ ยิ่งทำ กุศลก็ยิ่งเจริญ ตัวเองก็รุ่งเรือง สูงขึ้น 

5. คนอุดมปัญญา จะชำนาญในการสลายต้นเหตุแห่งปัญหาทั้งปวง คือกิเลสทั้งหลาย สามารถหา solution ได้มากมาย อยู่ที่ไหนก็เป็นแสงสว่าง เป็นที่รักที่ต้องการ ทำให้หมู่คณะสามัคคีผาสุก ภารกิจสำเร็จ ชีวิตจิตใจตนก็รุ่งเรือง สู่สุคติสุคโต 

คนที่มีลักษณะนิสัยและพฤติกรรมเช่นนี้เป็นมนุษย์เจ้าปัญญา เพื่อความเจริญของเขาเองและหมู่คณะ ควรให้กอปรภารกิจ และดูแลส่วนรวม

Qualification ที่เหมาะกับโปรเจคนี้

เนื่องจากโครงการนี้เราสร้างถวายพระรัตนตรัย จึงไม่อาจให้ใครเอาอวิชชามาถวายหรือละเลงได้ บาปจะตกแก่เขาเอง จะโง่และหลงผิดอีกยาวนาน จึงต้องให้ออกจากโปรเจค

โครงการนี้เหมาะสำหรับคนมีปัญญา และจิตสำนึกหมดจดเท่านั้น จึงจะช่วยกันสร้างสิ่งที่ดีที่สุดเท่าที่เป็นได้ ให้สำเร็จอย่างหมดจดและเหมาะสม

เรื่องนี้เด็ดขาด ใครก็ต่อรองสัจธรรมไม่ได้ อย่าพยายาม

ยอมปรับตัวเข้าสู่มาตรฐานอริยสัจดีกว่า แล้วสติปัญญา ความสามารถ ผลงาน จิตใจจะ upgrade ขึ้น เป็นคนใหม่เลย

 

 

คำที่เกี่ยวข้อง :

การงาน ปัญญา อริยสัจ ๔ อวิชชา