Main navigation
ธรรมให้เป็นที่รัก ที่เคารพ
Share:

ผู้มีเมตตาย่อมเป็นที่รัก

(๑) เมตตาเจโตวิมุติ อันบุคคลเสพแล้วเจริญแล้ว ทำให้มากแล้ว ทำให้เป็นดุจยาน ทำให้เป็นที่ตั้ง ให้ตั้งมั่นโดยลำดับ สั่งสมดีแล้ว ปรารภด้วยดีแล้ว ย่อมเป็นที่รักแห่งมนุษย์ทั้งหลาย ย่อมเป็นที่รักแห่งอมนุษย์ทั้งหลาย

ผู้มีศีลย่อมเป็นที่รัก

(๒) บุคคลผู้มีศีล ย่อมเป็นที่รักของญาติทั้งหลาย และรุ่งเรืองในหมู่มิตร

ผู้ให้ย่อมเป็นที่รัก

(๓) ทายกผู้เป็นทานบดี ย่อมเป็นที่รักที่ชอบใจของชนเป็นอันมาก แม้ข้อนี้เป็นผลแห่งทานที่จะพึงเห็นเอง

นรชนผู้ไม่ตระหนี่ให้ทาน ย่อมเป็นที่รักของชนเป็นอันมาก ชนเป็นอันมากย่อมคบหานรชนนั้น นรชนนั้นย่อมได้เกียรติ มียศ เจริญ เป็นผู้ไม่เก้อเขิน แกล้วกล้าเข้าสู่ที่ประชุมชน

ผู้อดทนย่อมเป็นที่รัก

ผู้ไม่อดทนย่อมไม่เป็นที่รัก ไม่เป็นที่ชอบใจของคนเป็นอันมาก
ผู้อดทนย่อมเป็นที่รัก เป็นที่ชอบใจของคนเป็นอันมาก

ผู้แสดงธรรมอันงามย่อมเป็นที่รัก

(๕) ภิกษุย่อมแสดงธรรมอันงามในเบื้องต้น งามในท่ามกลาง งามในที่สุด ประกาศพรหมจรรย์ พร้อมทั้งอรรถ พร้อมทั้งพยัญชนะ บริสุทธิ์บริบูรณ์สิ้นเชิง แก่ภิกษุทั้งหลายด้วยประการใดๆ เธอย่อมเป็นที่รัก เป็นที่พอใจของพระศาสดานั้น ๆ เป็นที่เคารพสรรเสริญ ด้วยประการนั้น ๆ นี้เป็นอานิสงส์ในการฟังธรรมตามกาล ในการสนทนาธรรมตามกาล

(๖) บุคคลพึงกล่าวสอน พึงพร่ำสอน และพึงห้ามจากธรรมของอสัตบุรุษ ก็บุคคลนั้นย่อมเป็นที่รักของสัตบุรุษทั้งหลาย แต่ไม่เป็นที่รักของพวกอสัตบุรุษ

ผู้สรรเสริญและทำตามคำสอนพระศาสดา ย่อมเป็นที่รัก ที่เคารพ

(๗) เมื่อเรากล่าวสรรเสริญพระคุณของพระสัมพุทธเจ้า ผู้เป็นที่รักของหมู่ชน เพราะฉะนั้น เราจึงเป็นผู้น่ารัก น่าชม เหมือนพระจันทร์อันมีในสรทกาล

(๘) เป็นความอัศจรรย์ของสาวกทั้งหลาย เป็นเรื่องที่ไม่เคยมีมาของสาวกทั้งหลาย สาวกทั้งหลายจักกระทำตามคำสอน และกระทำตามโอวาทของพระศาสดาและจักเป็นที่รัก เป็นที่ชอบใจ เป็นที่ตั้งแห่งความเคารพและสรรเสริญของบริษัท ๔

ผู้หวังให้ผู้อื่นปราศกิเลสย่อมเป็นที่รัก

(๙) ชนเหล่าใดมีในโลกนี้ เป็นมารดาก็ดี บิดาก็ดี พี่น้องชายก็ดี พี่น้องหญิงก็ดี บุตรก็ดี ธิดาก็ดี มิตรก็ดี พวกพ้องก็ดี ญาติก็ดี สาโลหิตก็ดี เป็นผู้หวังประโยชน์ หวังความเกื้อกูล หวังความสบาย หวังความปลอดโปร่ง จากโยคกิเลสแก่บุคคลนั้น ชนเหล่านั้นชื่อว่าสัตว์อันเป็นที่รัก

ธรรมให้เป็นที่รักของชนหมู่มาก

(๑๐) ชนย่อมกระทำบุคคลผู้สมบูรณ์ด้วยศีลและทัสสนะ ผู้ตั้งอยู่ในธรรม มีปกติกล่าวคำสัจ ผู้ทำการงานของตน ให้เป็นที่รัก (บุคคลผู้สมบูรณ์ด้วยศีล และทัสสนะ ดำรงอยู่ในธรรม กล่าวคำสัตย์ ทำหน้าที่ของตน ย่อมเป็นที่รักของประชาชน)

(๑๑) ผู้ที่ต้องการจะให้ตนเป็นที่รักของประชาชน พึงกล่าวแต่ถ้อยคำสละสลวย พูดพอประมาณ ไม่ฟุ้งซ่าน ถ้อยคำของผู้แสดงอรรถและธรรม เป็นถ้อยคำไพเราะ

ธรรมที่ทำให้ผู้ปกครองแผ่นดินเป็นที่รัก 

(๑๒) กษัตริย์ไม่พึงทรงลืมพระองค์ ไม่พึงทรงประพฤติอธรรม ไม่พึงทรงข้ามไปในที่มิใช่ท่า ไม่พึงทรงขวนขวายในสิ่งอันไม่เป็นประโยชน์ กษัตริย์พระองค์ใดทรงทราบว่าควรจะทำฐานะเหล่านี้ กษัตริย์พระองค์นั้นย่อมทรงพระเจริญทุกเมื่อ ดังพระจันทร์ในสุกรปักษ์ฉะนั้น ย่อมเป็นที่รักใคร่ของพระประยูรญาติทั้งหลายด้วย ย่อมทรงรุ่งโรจน์ในหมู่มิตรด้วย

ผลแห่งบุญที่ทำให้เป็นที่รัก

(๑๓) เรามีจิตเลื่อมใส ได้ถวายธูปไว้ในพระคันธกุฎีของพระผู้มีพระภาคพระนามว่า สิทธัตถะ เชษฐบุรุษของโลก ผู้คงที่ เราเข้าถึงกำเนิดใด ๆ คือ ความเป็นเทวดาหรือมนุษย์ ในกำเนิดนั้น ๆ เราย่อมเป็นที่รักของชนแม้ทั้งหมด

(๑๔) ใครบูชาพวงมาลัยดอกมะลินี้แก่พระพุทธเจ้าผู้ประเสริฐสุด ผู้คงที่ เราได้เข้าถึงชั้นนิมมานรดี เพราะจิตอันเลื่อมใสนั้น ได้เสวยกรรมของตนที่ตนทำไว้ดีในกาลก่อน เราเข้าถึงกำเนิดใด ๆ คือ ความเป็นเทวดาหรือมนุษย์ ย่อมเป็นที่รักของปวงชน นี้เป็นผลแห่งการบูชาด้วยดอกไม้


การงดเว้นจากอกุศลธรรมและกิเลสทั้งหลายทำให้เป็นที่รัก

(๑๕) บุคคลที่มีความปรารถนาลามก ลุอำนาจแห่งความปรารถนาลามก หาเป็นที่รักใคร่พอใจของเราไม่

ก็หากเราจะพึงเป็นคนมีความปรารถนาลามก ลุอำนาจแห่งความปรารถนาลามกบ้างเล่า เราคงไม่เป็นที่รักใคร่พอใจของคนอื่น ภิกษุรู้อยู่อย่างนี้พึงยังความคิดให้เกิดขึ้นว่า เราจักไม่เป็นคนมีความปรารถนาลามก ไม่ลุอำนาจแห่งความปรารถนาลามก

บุคคลที่ยกตนข่มผู้อื่นก็หาเป็นที่รักใคร่พอใจของเราไม่

ก็หากเราจะพึงเป็นคนยกตนข่มผู้อื่นบ้างเล่า เราคงไม่เป็นที่รักใคร่พอใจของคนอื่น ภิกษุรู้อยู่อย่างนี้พึงยังความคิดให้เกิดขึ้นว่า เราจักไม่ยกตน ไม่ข่มผู้อื่น

บุคคลที่เป็นคนมักโกรธ อันความโกรธครอบงำ ก็หาเป็นที่รักใคร่พอใจของเราไม่

ก็หากเราจะพึงเป็นคนมักโกรธ อันความโกรธครอบงำบ้างเล่า เราคงไม่เป็นที่รักใคร่พอใจของคนอื่น ภิกษุรู้อยู่อย่างนี้ พึงยังความคิดให้เกิดขึ้นว่า เราจักไม่เป็นคนมักโกรธ ไม่ให้ความโกรธครอบงำ

บุคคลที่เป็นคนมักโกรธ ผูกโกรธ เพราะความโกรธเป็นเหตุ ก็หาเป็นที่รักใคร่พอใจของเราไม่

ก็หากเราจะพึงเป็นคนมักโกรธ ผูกโกรธ เพราะความโกรธเป็นเหตุบ้างเล่า เราคงไม่เป็นที่รักใคร่พอใจของคนอื่น ภิกษุรู้อยู่อย่างนี้ พึงยังความคิดให้เกิดขึ้นว่า เราจักไม่เป็นคนมักโกรธ ไม่ผูกโกรธ เพราะความโกรธเป็นเหตุ

บุคคลที่เป็นคนมักโกรธ มักระแวงจัด เพราะความโกรธเป็นเหตุ ก็หาเป็นที่รักใคร่พอใจของเราไม่

ก็หากเราจะพึงเป็นคนมักโกรธ มักระแวงจัด เพราะความโกรธเป็นเหตุบ้างเล่า เราก็คงไม่เป็นที่รักใคร่พอใจของคนอื่น ภิกษุรู้อยู่อย่างนี้ พึงยังความคิดให้เกิดขึ้นว่า เราจักไม่เป็นคนมักโกรธ ไม่มักระแวงจัด เพราะความโกรธเป็นเหตุ

บุคคลที่เป็นคนมักโกรธ เปล่งวาจาใกล้ต่อความโกรธ ก็หาเป็นที่รักใคร่พอใจของเราไม่

ก็หากเราจะพึงเป็นคนมักโกรธ เปล่งวาจาใกล้ต่อความโกรธบ้างเล่า เราคงไม่เป็นที่รักใคร่พอใจของคนอื่น ภิกษุรู้อยู่อย่างนี้ พึงยังความคิดให้เกิดขึ้นว่า เราจักไม่เป็นคนมักโกรธ ไม่เปล่งวาจาใกล้ต่อความโกรธ

บุคคลที่ถูกบุคคลผู้เป็นโจทก์ฟ้อง กลับโต้เถียงโจทก์ ก็หาเป็นที่รักใคร่พอใจของเราไม่

ก็หากเราจะพึงถูกบุคคลผู้เป็นโจทก์ฟ้อง กลับโต้เถียงโจทก์บ้างเล่า เราคงไม่เป็นที่รักใคร่พอใจของคนอื่น ภิกษุรู้อยู่อย่างนี้ พึงยังความคิดให้เกิดขึ้นว่า เราถูกบุคคลผู้เป็นโจทก์ฟ้อง จักไม่โต้เถียงโจทก์

บุคคลที่ถูกบุคคลผู้เป็นโจทก์ฟ้อง กลับรุกรานโจทก์ ก็หาเป็นที่รักใคร่พอใจของเราไม่

ก็หากเราจะพึงถูกบุคคลผู้เป็นโจทก์ฟ้อง กลับรุกรานโจทก์บ้างเล่า เราคงไม่เป็นที่รักใคร่พอใจของคนอื่น ภิกษุรู้อยู่อย่างนี้ พึงยังความคิดให้เกิดขึ้นว่า เราถูกบุคคลผู้เป็นโจทก์ฟ้อง จักไม่รุกรานโจทก์

บุคคลที่ถูกบุคคลผู้เป็นโจทก์ฟ้อง กลับปรักปรำโจทก์ ก็หาเป็นที่รักใคร่พอใจของเราไม่

ก็หากเราจะพึงถูกบุคคลผู้เป็นโจทก์ฟ้อง กลับปรักปรำโจทก์บ้างเล่า เราคงไม่เป็นที่รักใคร่พอใจของคนอื่น ภิกษุรู้อยู่อย่างนี้ พึงยังความคิดให้เกิดขึ้นว่า เราถูกบุคคลผู้เป็นโจทก์ฟ้อง จักไม่ปรักปรำโจทก์

บุคคลที่ถูกบุคคลผู้เป็นโจทก์ฟ้อง กลับเอาเรื่องอื่นมากลบเกลื่อน พูดนอกเรื่อง แสดงความโกรธความมุ่งร้าย และความไม่เชื่อฟังให้ปรากฏ ก็หาเป็นที่รักใคร่พอใจของเราไม่

ก็หากเราจะพึงถูกบุคคลผู้เป็นโจทก์ฟ้อง กลับเอาเรื่องอื่นมากลบเกลื่อน พูดนอกเรื่อง แสดงความโกรธ ความมุ่งร้าย และความไม่เชื่อฟังให้ปรากฏบ้างเล่า เราคงไม่เป็นที่รักใคร่พอใจของคนอื่น ภิกษุรู้อยู่อย่างนี้ พึงยังความคิดให้เกิดขึ้นว่า เราถูกบุคคลผู้เป็นโจทก์ฟ้อง จักไม่เอาเรื่องอื่นมากลบเกลื่อน ไม่พูดนอกเรื่อง ไม่แสดงความโกรธ ความมุ่งร้าย และความไม่เชื่อฟังให้ปรากฏ

บุคคลที่ถูกบุคคลผู้เป็นโจทก์ฟ้อง ไม่พอใจตอบในความประพฤติ ก็หาเป็นที่รักใคร่พอใจของเราไม่

ก็หากเราจะพึงถูกบุคคลผู้เป็นโจทก์ฟ้อง ไม่พอใจตอบในความประพฤติ เราคงไม่เป็นที่รักใคร่พอใจของคนอื่น ภิกษุรู้อยู่อย่างนี้ พึงยังความคิดให้เกิดขึ้นว่า เราถูกบุคคลผู้เป็นโจทก์ฟ้อง พอใจตอบในความประพฤติ

บุคคลที่เป็นคนลบหลู่ ตีเสมอ ก็หาเป็นที่รักใคร่พอใจของเราไม่

ก็หากเราจะพึงเป็นคนลบหลู่ตีเสมอบ้างเล่า เราคงไม่เป็นที่รักใคร่พอใจของคนอื่น ภิกษุรู้อยู่อย่างนี้ พึงยังความคิดให้เกิดขึ้นว่า เราจักไม่เป็นคนลบหลู่ ตีเสมอ

บุคคลที่เป็นคนริษยา เป็นคนตระหนี่ ก็หาเป็นที่รักใคร่พอใจของเราไม่

ก็หากเราจะพึงเป็นคนริษยา เป็นคนตระหนี่บ้างเล่าเราคงไม่เป็นที่รักใคร่พอใจของคนอื่น ภิกษุรู้อยู่อย่างนี้ พึงยังความคิดให้เกิดขึ้นว่า เราจักไม่เป็นคนริษยา ไม่เป็นคนตระหนี่

บุคคลที่เป็นคนโอ้อวด เจ้ามายาก็หาเป็นที่รักใคร่พอใจของเราไม่

ก็หากเราจะพึงเป็นคนโอ้อวด เจ้ามายาบ้างเล่า เราคงไม่เป็นที่รักใคร่พอใจของคนอื่น ภิกษุรู้อยู่อย่างนี้ พึงยังความคิดให้เกิดขึ้นว่า เราจักไม่เป็นคนโอ้อวด ไม่มีมายา

บุคคลที่เป็นคนกระด้าง ดูหมิ่นผู้อื่น นี้ก็หาเป็นที่รักใคร่พอใจของเราไม่

ก็หากเราจะพึงเป็นคนกระด้าง ดูหมิ่นผู้อื่นบ้างเล่า เราคงไม่เป็นที่รักใคร่พอใจของคนอื่น ภิกษุรู้อยู่อย่างนี้ พึงยังความคิดให้เกิดขึ้นว่า เราจักไม่เป็นคนกระด้าง ไม่ดูหมิ่นผู้อื่น

บุคคลที่ถือแต่ความเห็นของตน ถือรั้น ถอนได้ยาก ก็หาเป็นที่รักใคร่พอใจของเราไม่

ก็หากเราจะพึงเป็นคนถือแต่ความเห็นของตน ถือรั้น ถอนได้ยากบ้างเล่า เราคงไม่เป็นที่รักใคร่พอใจของคนอื่น ภิกษุรู้อยู่อย่างนี้ พึงยังความคิดให้เกิดขึ้นว่า เราจักไม่เป็นคนถือแต่ความเห็นของตน ไม่ถือรั้น ถอนได้ง่าย ดังนี้


(๑๖) อริยสาวกในธรรมวินัยนี้ ย่อมพิจารณาเห็นดังนี้ว่า

เราอยากเป็นอยู่ ไม่อยากตาย รักสุข เกลียดทุกข์ ผู้ใดจะปลงเราผู้อยากเป็นอยู่ ไม่อยากตาย รักสุข เกลียดทุกข์ เสียจากชีวิต ข้อนั้นไม่เป็นที่รักที่ชอบใจของเรา อนึ่ง เราพึงปลงคนอื่นผู้อยากเป็นอยู่ ไม่อยากตาย รักสุขเกลียดทุกข์ เสียจากชีวิต ข้อนั้นก็ไม่เป็นที่รักที่ชอบใจแม้ของคนอื่น

ผู้ใดพึงถือเอาสิ่งของที่เรามิได้ให้ด้วยอาการขโมย ข้อนั้นไม่เป็นที่รักที่ชอบของเรา อนึ่ง เราพึงถือเอาสิ่งของที่ผู้อื่นมิได้ให้ด้วยอาการขโมย ข้อนั้นก็ไม่เป็นที่รักที่ชอบใจแม้ของผู้อื่น

ผู้ใดพึงถึงความประพฤติ (ผิด) ในภริยาของเรา ข้อนั้นไม่เป็นที่รักที่ชอบใจของเรา อนึ่ง เราพึงถึงความประพฤติ (ผิด) ในภริยาของคนอื่น ข้อนั้นก็ไม่เป็นที่รักที่ชอบใจแม้ของคนอื่น

ผู้ใดพึงทำลายประโยชน์ของเราด้วยการกล่าวเท็จ ข้อนั้นไม่เป็นที่รักใคร่ชอบใจของเรา อนึ่ง เราพึงทำลายประโยชน์ของคนอื่นด้วยการกล่าวเท็จ ข้อนั้นก็ไม่เป็นที่รักที่ชอบใจแม้ของคนอื่น

ผู้ใดพึงยุยงให้เราแตกจากมิตรด้วยคำส่อเสียด ข้อนั้นไม่เป็นที่รักที่ชอบใจของเราอนึ่ง เราพึงยุยงคนอื่นให้แตกจากมิตรด้วยคำส่อเสียด ข้อนั้นก็ไม่เป็นที่รักที่ชอบใจแม้ของคนอื่น

ผู้ใดพึงพูดกะเราด้วยคำหยาบ ข้อนั้นไม่เป็นที่รักที่ชอบใจของเรา อนึ่ง เราพึงพูดกะคนอื่นด้วยคำหยาบ ข้อนั้นก็ไม่เป็นที่รักที่ชอบใจแม้ของคนอื่น

ผู้ใดพึงพูดกะเราด้วยถ้อยคำเพ้อเจ้อ ข้อนั้นไม่เป็นที่รักที่ชอบใจของเรา อนึ่ง เราพึงพูดกะคนอื่นด้วยถ้อยคำเพ้อเจ้อ ข้อนั้นก็ไม่เป็นที่รักที่ชอบใจแม้ของคนอื่น

ธรรมข้อใดไม่เป็นที่รักที่ชอบใจของเรา ธรรมข้อนั้นก็ไม่เป็นที่รักที่ชอบใจแม้ของผู้อื่น ธรรมข้อใดไม่เป็นที่รักที่ชอบใจของเรา เราจะพึงประกอบผู้อื่นไว้ด้วยธรรมข้อนั้นได้อย่างไร อริยสาวกนั้นพิจารณาเห็นดังนั้นแล้ว

ตนเองย่อมงดเว้นจากปาณาติบาตด้วย ชักชวนผู้อื่นเพื่องดเว้นจากปาณาติบาตด้วย กล่าวสรรเสริญคุณแห่งการงดเว้นปาณาติบาตด้วย กายสมาจารของอริยสาวกนั้นย่อมบริสุทธิ์โดยส่วนสามอย่างนี้

ตนเองย่อมงดเว้นจากอทินนาทานด้วย ชักชวนผู้อื่นเพื่อให้งดเว้นจากอทินนาทานด้วย กล่าวสรรเสริญคุณแห่งการงดเว้นจากอทินนาทานด้วย กายสมาจารของอริยสาวกนั้นย่อมบริสุทธิ์โดยส่วนสามอย่างนี้

ตนเองย่อมงดเว้นจากกาเมสุมิจฉาจารด้วย ชักชวนผู้อื่นเพื่อให้งดเว้นจากกาเมสุมิจฉาจารด้วย กล่าวสรรเสริญคุณแห่งการงดเว้นจากกาเมสุมิจฉาจารด้วยกายสมาจารของอริยสาวกนั้นย่อมบริสุทธิ์โดยส่วนสามอย่างนี้

ตนเองย่อมงดเว้นจากมุสาวาทด้วย ชักชวนผู้อื่นเพื่อให้งดเว้นจากมุสาวาทด้วย กล่าวสรรเสริญคุณแห่งการงดเว้นจากมุสาวาทด้วย วจีสมาจารของอริยสาวกนั้นย่อมบริสุทธิ์โดยส่วนสามอย่างนี้

ตนเองย่อมงดเว้นจากปิสุณาวาจาด้วย ชักชวนผู้อื่นเพื่อให้เว้นจากปิสุณาวาจาด้วย กล่าวสรรเสริญคุณแห่งการงดเว้นจากปิสุณาวาจาด้วย วจีสมาจารของอริยสาวกนั้นย่อมบริสุทธิ์โดยส่วนสามอย่างนี้

ตนเองย่อมงดเว้นจากผรุสวาจาด้วย ชักชวนผู้อื่นเพื่อให้งดเว้นจากผรุสวาจาด้วย กล่าวสรรเสริญคุณแห่งการงดเว้นจากผรุสวาจาด้วย วจีสมาจารของอริยสาวกนั้นย่อมบริสุทธิ์โดยส่วนสามอย่างนี้

ตนเองย่อมงดเว้นจากสัมผัปปลาปะด้วย ชักชวนผู้อื่นเพื่อให้งดเว้นจากสัมผัปปลาปะด้วย กล่าวสรรเสริญคุณแห่งการงดเว้นจากสัมผัปปลาปะด้วย วจีสมาจารของอริยสาวกนั้นย่อมบริสุทธิ์โดยส่วนสามอย่างนี้


ธรรมให้ไม่เป็นที่รัก ที่เคารพของภิกษุ

ภิกษุผู้ประกอบด้วยธรรมเหล่านี้ ย่อมไม่เป็นที่รัก ไม่เป็นที่ชอบใจ ไม่เป็นที่เคารพ และไม่เป็นที่สรรเสริญของเพื่อนพรหมจรรย์ทั้งหลาย คือ

(๑๗) เป็นผู้มุ่งลาภ ๑
เป็นผู้มุ่งสักการะ ๑
เป็นผู้มุ่งความมีชื่อเสียง ๑
เป็นผู้ไม่มีหิริ ๑
เป็นผู้ไม่มีโอตตัปปะ ๑
มีความปรารถนาลามก ๑
มีความห็นผิด ๑

(๑๘) มีความริษยา ๑
มีความตระหนี่ ๑   

(๑๙) เป็นผู้สรรเสริญผู้ไม่เป็นที่รัก ๑
ติเตียนผู้เป็นที่รัก ๑

(๒๐) ไม่รู้จักกาล ๑
ไม่รู้จักประมาณ ๑
ไม่สะอาด ๑
ชอบพูดมาก ๑
มักด่าบริภาษเพื่อนพรหมจรรย์ ๑

(๒๑) ภิกษุผู้เถระประกอบด้วยธรรมเหล่านี้ ย่อมไม่เป็นที่รัก ไม่เป็นที่พอใจ ไม่เป็นที่เคารพ และไม่เป็นที่ยกย่องของเพื่อนพรหมจรรย์ คือ

ภิกษุผู้เถระย่อมกำหนัดในสิ่งอันเป็นที่ตั้งแห่งความกำหนัด ๑
ย่อมขัดเคืองในสิ่งอันเป็นที่ตั้งแห่งความขัดเคือง ๑
ย่อมหลงในสิ่งอันเป็นที่ตั้งแห่งความหลง ๑
ย่อมโกรธในสิ่งอันเป็นที่ตั้งแห่งความโกรธ ๑
ย่อมมัวเมาในสิ่งอันเป็นที่ตั้งแห่งความมัวเมา ๑

(๒๒) เป็นผู้ลบหลู่ ๑
เป็นผู้ตีเสมอ ๑

(๒๓) เป็นผู้พูดหลอกลวง ๑
เป็นผู้พูดหวังลาภ ๑
เป็นผู้พูดเลียบเคียงหาลาภ ๑
เป็นผู้พูดคาดคั้นให้บริจาค ๑
เป็นผู้แสวงหาลาภด้วยลาภ ๑

(๒๔) เป็นผู้ไม่มีศรัทธา ๑
เป็นผู้ไม่มีหิริ ๑
เป็นผู้ไม่มีโอตตัปปะ ๑
เป็นผู้เกียจคร้าน ๑
เป็นผู้มีปัญญาทราม ๑

(๒๕) เป็นผู้ไม่อดทนต่อรูปารมณ์ ๑
เป็นผู้ไม่อดทนต่อสัททารมณ์ ๑
เป็นผู้ไม่อดทนต่อคันธารมณ์ ๑
เป็นผู้ไม่อดทนต่อรสารมณ์ ๑
เป็นผู้ไม่อดทนต่อโผฏฐัพพารมณ์ ๑


ธรรมให้เป็นที่รัก ที่เคารพ ของภิกษุ

ภิกษุผู้ประกอบด้วยธรรมเหล่านี้ ย่อมเป็นที่รัก เป็นที่ชอบใจ เป็นที่เคารพ และเป็นที่สรรเสริญของเพื่อนพรหมจรรย์ทั้งหลาย คือ

(๑๗) ไม่เป็นผู้มุ่งลาภ ๑ 
ไม่เป็นผู้มุ่งสักการะ ๑
ไม่เป็นผู้มุ่งความมีชื่อเสียง ๑
มีหิริ ๑
มีโอตตัปปะ ๑
มีความปรารถนาน้อย ๑
มีความเห็นชอบ ๑

(๑๘) ไม่มีความริษยา ๑
ไม่ตระหนี่ ๑

(๑๙) เป็นผู้ไม่สรรเสริญผู้ที่ไม่เป็นที่รัก ๑
ไม่ติเตียนผู้ไม่เป็นที่รัก ๑

(๒๐) เป็นผู้รู้จักกาล ๑
เป็นผู้รู้จักประมาณ ๑
เป็นคนสะอาด ๑
ไม่ชอบพูดมาก ๑
ไม่ด่าบริภาษเพื่อนพรหมจรรย์ ๑

(๒๑) ภิกษุผู้เป็นเถระประกอบด้วยธรรมเหล่านี้ ย่อมเป็นที่รัก เป็นที่พอใจ เป็นที่เคารพ และเป็นที่ยกย่องของเพื่อนพรหมจรรย์  คือ

ภิกษุผู้เถระย่อมไม่กำหนัดในสิ่งอันเป็นที่ตั้งแห่งความกำหนัด ๑
ย่อมไม่ขัดเคืองในสิ่งอันเป็นที่ตั้งแห่งความขัดเคือง ๑
ย่อมไม่หลงในสิ่งอันเป็นที่ตั้งแห่งความหลง ๑
ย่อมไม่โกรธในสิ่งอันเป็นที่ตั้งแห่งความโกรธ ๑
ย่อมไม่มัวเมาในสิ่งอันเป็นที่ตั้งแห่งความมัวเมา ๑

(๒๒) ไม่เป็นผู้ลบหลู่ ๑
ไม่เป็นผู้ตีเสมอ ๑

(๒๓) ไม่เป็นผู้พูดหลอกลวง ๑
ไม่เป็นผู้พูดหวังลาภ ๑
ไม่เป็นผู้พูดเลียบเคียงหาลาภ ๑
ไม่เป็นผู้พูดคาดคั้นให้บริจาค ๑
ไม่เป็นผู้แสวงหาลาภด้วยลาภ ๑

(๒๔) เป็นผู้มีศรัทธา ๑
เป็นผู้มีหิริ ๑
เป็นผู้มีโอตตัปปะ ๑
เป็นผู้ปรารภความเพียร ๑
เป็นผู้มีปัญญา ๑

(๒๕) เป็นผู้อดทนต่อรูปารมณ์ ๑
เป็นผู้อดทนต่อสัททารมณ์ ๑
เป็นผู้อดทนต่อคันธารมณ์ ๑
เป็นผู้อดทนต่อรสารมณ์ ๑
เป็นผู้อดทนต่อโผฏฐัพพารมณ์ ๑

(๒๖) เป็นผู้มีศีล สำรวมในปาติโมกขสังวรถึงพร้อมด้วยอาจาระ และโคจร มีปรกติเห็นภัยในโทษมีประมาณน้อย สมาทานศึกษาอยู่ในสิกขาบททั้งหลาย ๑

เป็นพหูสูต ทรงไว้ซึ่งสุตะ สั่งสมสุตะ เป็นผู้ได้สดับมาก ทรงจำไว้ คล่องปาก ขึ้นใจ  แทงตลอดด้วยดี ด้วยทิฐิ ซึ่งธรรมทั้งหลายอันงามในเบื้องต้น งามในท่ามกลาง งามในที่สุด ประกาศพรหมจรรย์พร้อมทั้งอรรถ พร้อมทั้งพยัญชนะ บริสุทธิ์บริบูรณ์สิ้นเชิง ๑

เป็นผู้มีวาจาไพเราะ พูดวาจาอ่อนหวาน ประกอบด้วยวาจาของชาวเมืองที่สละสลวย ไม่มีโทษ ให้รู้ความหมายได้ ๑

เป็นผู้ได้ตามความปรารถนา ได้โดยไม่ยาก ไม่ลำบาก ซึ่งฌาน ๔ อันมีในจิตยิ่ง เป็นเครื่องอยู่เป็นสุขในปัจจุบัน ๑

กระทำให้แจ้งซึ่งเจโตวิมุติ ปัญญาวิมุติ อันหาอาสวะมิได้ เพราะอาสวะทั้งหลายสิ้นไป ด้วยปัญญาอันยิ่งเองในปัจจุบัน เข้าถึงอยู่ ๑

(๒๗) เป็นผู้บรรลุอัตถปฏิสัมภิทา ๑
เป็นผู้บรรลุธรรมปฏิสัมภิทา ๑
เป็นผู้บรรลุนิรุตติปฏิสัมภิทา ๑
เป็นผู้บรรลุปฏิภาณปฏิสัมภิทา ๑
เป็นผู้ขยัน ไม่เกียจคร้านในกรณียกิจน้อยใหญ่ของเพื่อนพรหมจรรย์ที่ควรจัดทำ เป็นผู้ประกอบด้วยปัญญาเครื่องใคร่ครวญวิธีการในกิจนั้น เป็นผู้สามารถเพื่อทำ เป็นผู้สามารถเพื่อจัดแจง ๑

(๒๘) ถ้าภิกษุจะพึงหวังว่า ขอเราพึงเป็นที่รัก เป็นที่ชอบใจ เป็นที่เคารพ และเป็นผู้ควรยกย่องของเพื่อนพรหมจรรย์ทั้งหลายเถิด ภิกษุนั้นพึงกระทำให้บริบูรณ์ในศีล หมั่นประกอบธรรมเครื่องระงับจิตของตน ไม่ทำฌานให้เหินห่าง ประกอบด้วยวิปัสสนา พอกพูนสุญญาคาร

(๒๙) ธรรมเป็นที่ตั้งแห่งความให้ระลึกถึงกัน ทำให้เป็นที่รัก ทำให้เป็นที่เคารพ เป็นไปเพื่อความสงเคราะห์กัน เพื่อความไม่วิวาทกัน เพื่อความพร้อมเพรียงกัน เพื่อความเป็นอันหนึ่งอันเดียวกัน คือ ภิกษุในธรรมวินัยนี้

สาราณียธรรม ๖

เข้าไปตั้งกายกรรมประกอบด้วยเมตตาในเพื่อนสพรหมจารีทั้งหลาย ทั้งในที่แจ้ง ทั้งในที่ลับ

เข้าไปตั้งวจีกรรมประกอบด้วยเมตตาในเพื่อนสพรหมจารีทั้งหลาย ทั้งในที่แจ้ง ทั้งในที่ลับ

เข้าไปตั้งมโนกรรมประกอบด้วยเมตตาในเพื่อนสพรหมจารีทั้งหลาย ทั้งในที่แจ้ง ทั้งในที่ลับ

เป็นผู้ไม่หวงลาภที่เกิดโดยธรรม ที่ตนหาได้โดยชอบธรรม โดยที่สุดแม้แต่อาหารที่นับเนื่องในบาตรไว้บริโภค เป็นผู้บริโภคร่วมกับเพื่อนสพรหมจารีผู้มีศีล

เป็นผู้มีศีลเสมอกับเพื่อนสพรหมจารีในศีลทั้งหลาย ที่ไม่ขาด ไม่ทะลุ ไม่ด่าง ไม่พร้อย เป็นไทย อันวิญญูชนสรรเสริญ อันกิเลสไม่จับต้อง เป็นไปเพื่อสมาธิ ทั้งในที่แจ้ง ทั้งในที่ลับอยู่

เป็นผู้มีทิฏฐิเสมอกับเพื่อนสพรหมจารีในทิฏฐิอันประเสริฐ นำออกจากทุกข์ นำไปเพื่อความสิ้นทุกข์โดยชอบแก่ผู้ทำตาม พร่ำสอน ทั้งในที่แจ้ง ทั้งในที่ลับอยู่

(๓๐) ธรรม ๑๐ ประการนี้ เป็นที่ตั้งแห่งความระลึกถึงกัน ทำให้เป็นที่รัก ที่เคารพกัน ย่อมเป็นไปเพื่อความสงเคราะห์กันและกัน ไม่วิวาทกันสามัคคีเป็นอันหนึ่งอันเดียวกัน ธรรม ๑๐ ประการ คือ

ภิกษุในธรรมวินัยนี้ เป็นผู้มีศีล สำรวมแล้วในปาติโมกขสังวร ถึงพร้อมด้วยอาจาระและโคจร มีปรกติเห็นภัยในโทษมีประมาณน้อย สมาทานศึกษาอยู่ในสิกขาบททั้งหลาย

ภิกษุเป็นพหูสูต ทรงสุตะ สั่งสมสุตะ เป็นผู้ได้สดับมามาก ทรงไว้คล่องปาก ขึ้นใจ แทงตลอดด้วยดีด้วยทิฐิ ซึ่งธรรมทั้งหลายอันงามในเบื้องต้น งามในท่ามกลาง งามในที่สุด ประกาศพรหมจรรย์พร้อมทั้งอรรถทั้งพยัญชนะ บริสุทธิ์บริบูรณ์สิ้นเชิง

ภิกษุเป็นผู้มีมิตรดี มีสหายดี มีเพื่อนดี

ภิกษุเป็นผู้ว่าง่าย ประกอบด้วยธรรมเครื่องทำให้เป็นผู้ว่าง่าย เป็นผู้อดทน มีปรกติรับคำพร่ำสอนโดยเคารพ

ภิกษุเป็นผู้ขยัน ไม่เกียจคร้านในกรณียกิจทั้งสูงทั้งต่ำของเพื่อนพรหมจรรย์ทั้งหลาย ประกอบด้วยปัญญาเป็นเครื่องพิจารณา อันเป็นอุบายในกรณียกิจนั้น เป็นผู้สามารถเพื่อทำ เพื่อจัดได้

ภิกษุมีความใคร่ในธรรม เป็นผู้ฟังและแสดงธรรมอันเป็นที่รัก มีความปราโมทย์อย่างยิ่งในอภิธรรม ในอภิวินัย

ภิกษุเป็นผู้ปรารภความเพียรเพื่อละอกุศลธรรมทั้งหลาย เพื่อความถึงพร้อมแห่งกุศลธรรมทั้งหลาย เป็นผู้มีกำลัง มีความบากบั่นมั่นคง ไม่ทอดธุระในกุศลธรรมทั้งหลาย

ภิกษุเป็นผู้สันโดษด้วยจีวร บิณฑบาต เสนาสนะและเภสัชบริขาร อันเป็นปัจจัยแก่คนไข้ ตามมีตามได้

ภิกษุเป็นผู้มีสติ คือ ประกอบด้วยสติเป็นเครื่องรักษาตนอย่างยิ่ง ระลึกนึกถึงกิจที่ทำและคำที่พูดแม้นานได้

ภิกษุเป็นผู้มีปัญญา คือ ประกอบด้วยปัญญาเครื่องพิจารณาเห็นความเกิด ดับ เป็นอริยะ ชำแรกกิเลส ให้ถึงความสิ้นทุกข์โดยชอบ

(๓๑) ภิกษุเป็นผู้ไม่ก่ออธิกรณ์ กล่าวสรรเสริญการระงับอธิกรณ์ แม้ข้อที่ภิกษุไม่เป็นผู้ก่ออธิกรณ์ กล่าวสรรเสริญการระงับอธิกรณ์นี้ ย่อมเป็นไปเพื่อความเป็นที่รัก ที่เคารพ ที่ยกย่อง ที่เสมอกัน เป็นอันหนึ่งอันเดียวกัน

ภิกษุเป็นผู้ใคร่ในการศึกษา กล่าวสรรเสริญการสมาทานในการศึกษา แม้ข้อที่ภิกษุเป็นผู้ใคร่ในการศึกษา กล่าวสรรเสริญการสมาทานในการศึกษานี้ ย่อมเป็นไปเพื่อความเป็นที่รัก ที่เคารพ ที่ยกย่อง ที่เสมอกัน เป็นอันหนึ่งอันเดียวกัน

ภิกษุเป็นผู้มีความปรารถนาน้อย กล่าวสรรเสริญการกำจัดความปรารถนา แม้ข้อที่ภิกษุเป็นผู้ปรารถนาน้อย กล่าวสรรเสริญการกำจัดความปรารถนานี้ ย่อมเป็นไปเพื่อความเป็นที่รัก ที่เคารพ ที่ยกย่อง ที่เสมอกัน เป็นอันหนึ่งอันเดียวกัน

ภิกษุเป็นผู้ไม่โกรธ กล่าวสรรเสริญการกำจัดความโกรธ แม้ข้อที่ภิกษุเป็นผู้ไม่โกรธ กล่าวสรรเสริญการกำจัดความโกรธนี้ ย่อมเป็นไปเพื่อความเป็นที่รัก ที่เคารพ ที่ยกย่อง ที่เสมอกัน เป็นอันหนึ่งอันเดียวกัน

ภิกษุเป็นผู้ไม่ลบหลู่ กล่าวสรรเสริญการกำจัดความลบหลู่ แม้ข้อที่ภิกษุเป็นผู้ไม่ลบหลู่ กล่าวสรรเสริญการกำจัดความลบหลู่นี้ ย่อมเป็นไปเพื่อความเป็นที่รัก ที่เคารพ ที่ยกย่อง ที่เสมอกัน เป็นอันหนึ่งอันเดียวกัน

ภิกษุเป็นผู้ไม่โอ้อวด กล่าวสรรเสริญการกำจัดความโอ้อวด แม้ข้อที่ภิกษุเป็นผู้ไม่โอ้อวด กล่าวสรรเสริญการกำจัดความโอ้อวดนี้ ย่อมเป็นไปเพื่อความเป็นที่รักที่เคารพ ที่ยกย่อง ที่เสมอกัน เป็นอันหนึ่งอันเดียวกัน

ภิกษุเป็นผู้ไม่มีมายา กล่าวสรรเสริญการกำจัดมายา ข้อที่ภิกษุเป็นผู้ไม่มีมายา กล่าวสรรเสริญการกำจัดมายานี้ ย่อมเป็นไปเพื่อความเป็นที่รัก ที่เคารพ ที่ยกย่อง ที่เสมอกัน เป็นอันหนึ่งอันเดียวกัน

ภิกษุเป็นผู้เพ่งเล็งธรรมทั้งหลาย กล่าวสรรเสริญการเพ่งเล็งธรรมทั้งหลาย ข้อที่ภิกษุเป็นผู้เพ่งเล็งธรรมทั้งหลาย กล่าวสรรเสริญการเพ่งเล็งธรรมทั้งหลายนี้ ย่อมเป็นไปเพื่อความเป็นที่รัก ที่เคารพ ที่ยกย่อง ที่เสมอกัน เป็นอันหนึ่งอันเดียวกัน

ภิกษุเป็นผู้หลีกออกเร้นอยู่ กล่าวสรรเสริญการหลีกออกเร้น แม้ข้อที่ภิกษุเป็นผู้หลีกออกเร้นอยู่ กล่าวสรรเสริญการหลีกออกเร้นนี้ ย่อมเป็นไปเพื่อความเป็นที่รักที่เคารพ ที่ยกย่อง ที่เสมอกัน เป็นอันหนึ่งอันเดียวกัน

ภิกษุเป็นผู้กระทำการปฏิสันถารเพื่อนพรหมจรรย์ทั้งหลาย กล่าวสรรเสริญการกระทำปฏิสันถาร แม้ข้อที่ภิกษุเป็นผู้กระทำปฏิสันถารเพื่อนพรหมจรรย์ทั้งหลาย กล่าวสรรเสริญการกระทำปฏิสันถารนี้ ย่อมเป็นไปเพื่อความเป็นที่รัก ที่เคารพ ที่ยกย่อง ที่เสมอกัน เป็นอันหนึ่งอันเดียวกัน

ถึงความปรารถนาไม่พึงบังเกิดขึ้นแก่ภิกษุเห็นปานนี้ อย่างนี้ว่า โอหนอ ขอเพื่อนพรหมจรรย์ทั้งหลายพึงสักการะ เคารพ นับถือ บูชาเรา ดังนี้ ถึงอย่างนั้น เพื่อนพรหมจรรย์ทั้งหลายก็สักการะ เคารพ นับถือ บูชาภิกษุนั้น เพราะเพื่อนพรหมจรรย์ทั้งหลายผู้เป็นวิญญู ย่อมพิจารณาเห็นอกุศลธรรมทั้งหลายอันลามกที่ละได้แล้วของเธอ


ธรรมให้เป็นที่รักเมื่อเข้าสู่สกุล (สถานที่ของผู้อื่น)

(๓๒) ภิกษุผู้เข้าสู่สกุลประกอบด้วยธรรม ๕ ประการ ย่อมไม่เป็นที่รัก ไม่เป็นที่พอใจ ไม่เป็นที่เคารพ และไม่เป็นที่สรรเสริญในสกุล ธรรม ๕ ประการ คือ

เป็นผู้วิสาสะกับผู้ไม่คุ้นเคย ๑
เป็นผู้บงการต่างๆ ทั้งที่ตนไม่เป็นใหญ่ในสกุล ๑
เป็นผู้คบหาผู้ไม่ถูกกับเขา ๑
เป็นผู้พูดกระซิบที่หู ๑
เป็นผู้ขอมากเกินไป ๑

ภิกษุผู้เข้าสู่สกุลประกอบด้วยธรรม ๕ ประการ ย่อมเป็นที่รัก เป็นที่พอใจ เป็นที่เคารพ เป็นที่สรรเสริญในสกุล ธรรม ๕ ประการ คือ

ไม่เป็นผู้วิสาสะกับผู้ไม่คุ้นเคย ๑
ไม่เป็นผู้บงการต่างๆ ทั้งที่ตนไม่เป็นใหญ่ในสกุล ๑
ไม่เป็นผู้คบหา ผู้ไม่ถูกกับเขา ๑
ไม่เป็นผู้พูดกระซิบที่หู ๑
ไม่เป็นผู้ขอมากเกินไป ๑


ธรรมให้เป็นที่รัก ที่เคารพ ของผู้ตัดสินและแก้ไขข้อขัดแย้ง

(๓๓) ข้อปฏิบัติของภิกษุผู้วินิจฉัยอธิกรณ์

ภิกษุผู้ทำหน้าที่ เมื่อเข้าหาสงฆ์

พึงเป็นผู้มีจิตยำเกรง มีจิตเสมอด้วยผ้าเช็ดธุลี เข้าหาสงฆ์
พึงเป็นผู้รู้จักที่นั่ง รู้จักการนั่ง ไม่เบียดภิกษุผู้เถระ ไม่ห้ามภิกษุผู้อ่อนกว่าด้วยอาสนะ
พึงนั่งอาสนะตามสมควร
ไม่พึงพูดเรื่องต่าง ๆ
ไม่พึงพูดเรื่องดิรัจฉานกถา
พึงกล่าวธรรมเอง หรือพึงเชื้อเชิญภิกษุรูปอื่น
ไม่พึงดูหมิ่นอริยดุษณีภาพ อันภิกษุผู้วินิจฉัยอธิกรณ์ที่สงฆ์อนุมัติแล้ว

มีประสงค์จะวินิจฉัยอธิกรณ์

ไม่พึงถามถึงอุปัชฌาย์
ไม่พึงถามถึงอาจารย์
ไม่พึงถามถึงสัทธิวิหาริก
ไม่พึงถามถึงอันเตวาสิก
ไม่พึงถามถึงภิกษุปูนอุปัชฌาย์
ไม่พึงถามถึงภิกษุปูนอาจารย์
ไม่พึงถามถึงชาติ
ไม่พึงถามถึงชื่อ
ไม่พึงถามถึงโคตร
ไม่พึงถามถึงอาคม
ไม่พึงถามถึงตระกูลประเทศ
ไม่พึงถามถึงชาติภูมิ

เพราะความรักหรือความชังจะพึงมีในบุคคลนั้น เมื่อมีความรักหรือความชัง พึงลำเอียงเพราะความชอบบ้าง พึงลำเอียงเพราะความชังบ้าง พึงลำเอียงเพราะความหลงบ้าง พึงลำเอียงเพราะความกลัวบ้าง

ภิกษุผู้วินิจฉัยอธิกรณ์ที่สงฆ์อนุมัติแล้ว มีประสงค์จะวินิจฉัยอธิกรณ์

พึงเป็นผู้หนักในสงฆ์ ไม่พึงเป็นผู้หนักในบุคคล
พึงเป็นผู้หนักในพระสัทธรรม ไม่พึงเป็นผู้หนักในอามิส
พึงเป็นผู้ไปตามอำนาจแห่งคดี ไม่พึงเป็นผู้เห็นแก่บริษัท
พึงวินิจฉัยโดยกาลอันควร ไม่พึงวินิจฉัยโดยกาลไม่ควร
พึงวินัยฉัยด้วยคำจริง ไม่พึงวินิจฉัยด้วยคำไม่จริง
พึงวินิจฉัยด้วยคำสุภาพ ไม่พึงวินิจฉัยด้วยคำหยาบ
พึงวินิจฉัยด้วยคำประกอบด้วยประโยชน์ ไม่พึงวินิจฉัยด้วยคำไม่ประกอบด้วยประโยชน์
พึงเป็นผู้มีเมตตาจิตวินิจฉัย ไม่พึงเป็นผู้มุ่งร้ายวินิจฉัย
ไม่พึงเป็นผู้กระซิบที่หู
ไม่พึงคอยจับผิด
ไม่พึงขยิบตา
ไม่พึงเลิกคิ้ว
ไม่พึงชะเง้อศีรษะ
ไม่พึงทำวิการแห่งมือ
ไม่พึงแสดงปลายนิ้วมือ
พึงเป็นผู้รู้จักที่นั่ง
พึงเป็นผู้รู้จักการนั่ง
พึงนั่งบนอาสนะของตน ทอดตาชั่วแอก เพ่งเนื้อความ และไม่ลุกจากอาสนะไปข้างไหน
ไม่พึงยังการวินิจฉัยให้บกพร่อง ไม่พึงเสพทางผิด
ไม่พึงพูดส่ายคำ
พึงเป็นผู้ไม่รีบด่วน ไม่ผลุนผลัน ไม่ดุดัน เป็นผู้อดได้ต่อถ้อยคำ
พึงเป็นผู้มีเมตตาจิต คิดเอ็นดูเพื่อประโยชน์
พึงเป็นผู้มีกรุณา ขวนขวายเพื่อประโยชน์
พึงเป็นผู้ไม่พูดพล่อย เป็นผู้พูดมีที่สุด
พึงเป็นผู้ไม่ผูกเวร ไม่ขัดเคือง
พึงรู้จักตน พึงรู้จักผู้อื่น
พึงสังเกตโจทก์ พึงสังเกตจำเลย
พึงกำหนดรู้ผู้โจทก์ไม่เป็นธรรม พึงกำหนดรู้ผู้ถูกโจทไม่เป็นธรรม
พึงกำหนดรู้ผู้โจทก์เป็นธรรม พึงกำหนดรู้ผู้ถูกโจทเป็นธรรม
พึงกำหนดข้อความอันสองฝ่ายกล่าวมิให้ตกหล่น ไม่แซมข้อความอันเขาไม่ได้กล่าว
พึงจำบทพยัญชนะ อันเข้าประเด็นไว้เป็นอย่างดีสอบสวนจำเลยแล้วพึงปรับตามคำรับสารภาพ

โจทก์หรือจำเลยประหม่า พึงพูดเอาใจ
เป็นผู้ขลาด พึงพูดปลอบ
เป็นผู้ดุ พึงห้ามเสีย
เป็นผู้ไม่สะอาด พึงดัดเสีย
เป็นผู้ตรง พึงประพฤติต่อด้วยความอ่อนโยน
ไม่พึงถึงฉันทาคติ โทสาคติ โมหาคติ ภยาคติ พึงวางตนเป็นกลาง ทั้งในธรรม ทั้งในบุคคล

ภิกษุผู้วินิจฉัยอธิกรณ์ เมื่อวินิจฉัยอธิกรณ์ด้วยอาการอย่างนี้ ชื่อว่าเป็นผู้ทำตามคำสอนของพระศาสดา เป็นที่รักที่ชอบใจ ที่เคารพ ที่สรรเสริญ แห่งสพรหมจารีทั้งหลายผู้เป็นวิญญู


เอตทัคคผู้เลิศด้านการเป็นที่รัก

(๓๔) พระปิลินทวัจฉะ เลิศกว่าพวกภิกษุสาวกของเรา ผู้เป็นที่รัก เป็นที่ชอบใจของเทวดาทั้งหลาย

 

 

อ้างอิง:
(๑) เมตตาสูตร พระไตรปิฎก ฉบับหลวง เล่มที่ ๒๔ ข้อที่ ๒๒๒ หน้าที่ ๓๑๖
(๒) สีลวีมังสชาดก พระไตรปิฎก ฉบับหลวง เล่มที่ ๒๗ ข้อที่ ๔๗๑ หน้าที่ ๑๒๐
(๓) สีหสูตร พระไตรปิฎก ฉบับหลวง เล่มที่ ๒๒ ข้อที่ ๓๔-๓๕ หน้าที่ ๓๔-๓๕
(๔) อขันติสูตรที่ ๑ พระไตรปิฎก ฉบับหลวง เล่มที่ ๒๒ ข้อที่ ๒๑๕ หน้าที่ ๒๒๘
(๕) นันทกสูตร พระไตรปิฎก ฉบับหลวง เล่มที่ ๒๓ ข้อที่ ๒๐๘ หน้าที่ ๒๙๐-๒๙๑
(๖) คาถาธรรมบท ปัณทิตวรรค พระไตรปิฎก ฉบับหลวง เล่มที่ ๒๕ ข้อที่ ๑๖ หน้าที่ ๑๘
(๗) สุคันธเถราปทาน พระไตรปิฎก ฉบับหลวง เล่มที่ ๓๓ ข้อที่ ๑๒๐ หน้าที่ ๑๑๘
(๘) เจลสูตร พระไตรปิฎก ฉบับหลวง เล่มที่ ๑๙ ข้อที่ ๗๔๓ หน้าที่ ๑๘๑
(๙) ขัคควิสาณสุตตนิทเทส พระไตรปิฎก ฉบับหลวง เล่มที่ ๓๐ ข้อที่ ๖๘๘ หน้าที่ ๒๖๙
(๑๐) คาถาธรรมบท ปิยวรรค พระไตรปิฎก ฉบับหลวง เล่มที่ ๒๕ ข้อที่ ๒๖
(๑๑) สุชาตาชาดก พระไตรปิฎก ฉบับหลวง เล่มที่ ๒๗ ข้อที่ ๔๐๘ หน้าที่ ๑๐๘
(๑๒) สัมภวชาดก พระไตรปิฎก ฉบับหลวง เล่มที่ ๒๗ ข้อที่ ๒๓๖๙ หน้าที่ ๔๑๙
(๑๓) ธูปทายกเถราปทาน พระไตรปิฎก ฉบับหลวง เล่มที่ ๓๒ ข้อที่ ๒๘ หน้าที่ ๘๐
(๑๔) สุมนาเวฬิยเถราปทาน พระไตรปิฎก ฉบับหลวง เล่มที่ ๓๒ ข้อที่ ๓๓๐ หน้าที่ ๓๑๓
(๑๕) อนุมานสูตร พระไตรปิฎก ฉบับหลวง เล่มที่ ๑๒ ข้อที่ ๒๒๔ หน้าที่ ๑๓๔-๑๓๖
(๑๖) เวฬุทวารสูตร พระไตรปิฎก ฉบับหลวง เล่มที่ ๑๙ ข้อที่ ๑๔๕๘ – ๑๔๖๕ หน้าที่ ๓๕๔
(๑๗) อัปปิยสูตรที่ ๑ พระไตรปิฎก ฉบับหลวง เล่มที่ ๒๓ หน้าที่ ๑ ข้อที่ ๑
(๑๘) อัปปิยสูตรที่ ๒ พระไตรปิฎก ฉบับหลวง เล่มที่ ๒๓ หน้าที่ ๒ ข้อที่ ๒
(๑๙) อัปปิยสูตรที่ ๑ พระไตรปิฎก ฉบับหลวง เล่มที่ ๒๓ ข้อที่ ๙๓ หน้า ๑๒๑
(๒๐) อัปปิยสูตรที่ ๒ พระไตรปิฎก ฉบับหลวง เล่มที่ ๒๓ ข้อที่ ๙๔ หน้า ๑๒๒ 
(๒๑) รัชนียสูตร พระไตรปิฎก ฉบับหลวง เล่มที่ ๒๒ ข้อที่ ๘๑ หน้าที่ ๙๕
(๒๒) วีตราคสูตร พระไตรปิฎก ฉบับหลวง เล่มที่ ๒๒ ข้อที่ ๘๒ หน้าที่ ๙๕-๙๖
(๒๓) กุหกสูตร พระไตรปิฎก ฉบับหลวง เล่มที่ ๒๒ ข้อที่ ๘๓ หน้าที่ ๙๖
(๒๔) อสัทธสูตร พระไตรปิฎก ฉบับหลวง เล่มที่ ๒๒ ข้อที่ ๘๔ หน้าที่ ๙๗
(๒๕) อักขมสูตร พระไตรปิฎก ฉบับหลวง เล่มที่ ๒๒ ข้อที่ ๘๕ หน้าที่ ๙๗
(๒๖) สีลสูตร พระไตรปิฎก ฉบับหลวง เล่มที่ ๒๒ ข้อที่ ๘๗ หน้าที่ ๙๘-๙๙
        อัปปิยสูตร พระไตรปิฎก ฉบับหลวง เล่มที่ ๒๒ ข้อที่ ๒๓๒ หน้าที่ ๒๓๘-๒๓๙
(๒๗) ปฏิสัมภิทาสูตร พระไตรปิฎก ฉบับหลวง เล่มที่ ๒๒ ข้อที่ ๘๖ หน้าที่ ๙๘
(๒๘) อากังเขยยสูตร พระไตรปิฎก ฉบับหลวง (ภาษาไทย) เล่มที่ ๑๒ ข้อที่ ๗๔ หน้าที่ ๔๓
(๒๙) สาราณียธรรม ๖ พระไตรปิฎก ฉบับหลวง เล่มที่ ๘ ข้อที่ ๘๕๖ หน้าที่ ๒๔๐-๒๔๑
(๓๐) ภัณฑนสูตร พระไตรปิฎก ฉบับหลวง เล่มที่ ๒๔ ข้อที่ ๕๐ หน้าที่ ๘๒
(๓๑) อธิกรณสูตร พระไตรปิฎก ฉบับหลวง เล่มที่ ๒๔ ข้อที่ ๘๗ หน้าที่ ๑๔๒
(๓๒) กุลุปกสูตร พระไตรปิฎก ฉบับหลวง เล่มที่ ๒๒ ข้อที่ ๑๑๑ หน้าที่ ๑๒๑
(๓๓) จูฬสงคราม พระไตรปิฎก ฉบับหลวง เล่มที่ ๘ ข้อที่ ๑๐๘๓ หน้าที่ ๓๗๒
(๓๔) เอตทัคคบาลี พระไตรปิฎก เล่มที่ ๒๐ ข้อที่ ๑๔๘
 
 
 
รวบรวมโดย : ธนกฤต เพชรโลหะกุล

 

 

 

คำต่อไป