Main navigation
ภพ
Share:

(๑)  ภพ เป็นหนึ่งในเหตุปัจจัยใน ปฏิจสมุปบาท เพราะอุปาทานเป็นปัจจัย จึงมีภพ เพราะภพเป็นปัจจัย จึงมีชาติ   เพราะอุปาทานดับ ภพจึงดับ เพราะภพดับ ชาติจึงดับ

ภพ ๓ เหล่านี้คือ กามภพ รูปภพ อรูปภพ นี้เรียกว่าภพ

(๒)  ความเกิดใหม่ในภพเกิดจากความยินดียิ่งในอารมณ์ ของสัตว์ที่มีอวิชชาเป็นเครื่องกีดกัน มีตัณหาเป็นเครื่องประกอบ

เมื่อสิ้นอวิชชา เมื่อวิชชาเกิด และตัณหาดับ ความเกิดในภพใหม่ในอนาคตจะไม่มี

(๓)  เมื่อใดบุคคลรู้ชัดซึ่งภพ เหตุเกิดแห่งภพ ความดับภพ และปฏิปทาที่จะให้ถึงความดับภพ แม้ด้วยเหตุเพียงเท่านี้ บุคคลชื่อว่าเป็นสัมมาทิฏฐิ มีความเห็นดำเนินไปตรงแล้ว ประกอบด้วยความเลื่อมใสอันแน่วแน่ในธรรม มาสู่พระสัทธรรมนี้

ก็ภพ  เหตุเกิดแห่งภพ ความดับภพ และปฏิปทาที่จะให้ถึงความดับภพ เป็นไฉน

ได้แก่ ภพ ๓ เหล่านี้ คือ กามภพ (ภพที่เป็นกามาวจร) รูปภพ (ภพที่เป็นรูปาวจร) อรูปภพ (ภพที่เป็นอรูปาวจร)

เหตุเกิดแห่งภพ ย่อมมีเพราะอุปาทานเป็นเหตุให้เกิดความดับภพ ย่อมมีเพราะอุปาทานดับ

อริยมรรคประกอบด้วยองค์ ๘ นี้แหละ คือ ความเห็นชอบ ดำริชอบ เจรจาชอบ การงานชอบ เลี้ยงชีพชอบ พยายามชอบ ระลึกชอบความตั้งใจชอบ ชื่อว่าปฏิปทาที่จะให้ถึงความดับภพ

เมื่อใดบุคคลรู้ชัดซึ่งภพ เหตุเกิดแห่งภพ ความดับภพ และปฏิปทาที่จะให้ถึงความดับภพอย่างนี้ๆ เมื่อนั้น ท่านละราคานุสัย บรรเทาปฏิฆานุสัย ถอนทิฏฐานุสัย และมานานุสัย โดยประการทั้งปวง ละอวิชชา ยังวิชชาให้เกิด ย่อมกระทำซึ่งที่สุดแห่งทุกข์ในปัจจุบันเทียว

แม้ด้วยเหตุเพียงเท่านี้ บุคคลชื่อว่าเป็นสัมมาทิฏฐิ มีความเห็นดำเนินไปตรงแล้ว ประกอบด้วยความเลื่อมใสอันแน่วแน่ในธรรม มาสู่พระสัทธรรมนี้

(๔) ภพ ย่อมมีได้ด้วยเหตุเพียงไร

กรรมที่อำนวยผลให้ในกามธาตุไม่มีแล้ว กามภพไม่พึงปรากฏ

เหตุนี้แล กรรมจึงชื่อว่าเป็นไร่นา วิญญาณชื่อว่าเป็นพืช ตัณหาชื่อว่าเป็นยาง เจตนา ความปรารถนาประดิษฐานแล้ว เพราะธาตุอย่างเลวของสัตว์พวกที่มีอวิชชาเป็นเครื่องสกัดกั้น มีตัณหาเป็นเครื่องผูกใจ ด้วย
ประการฉะนี้ จึงมีการเกิดในภพใหม่ต่อไปอีก

ก็กรรมที่อำนวยผลให้ในรูปธาตุไม่มีแล้ว รูปภพไม่พึงปรากฏ

เหตุนี้แล กรรมจึงชื่อว่าเป็นไร่นา วิญญาณชื่อว่าเป็นพืช ตัณหาชื่อว่าเป็นยาง เจตนา ความปรารถนาประดิษฐานแล้ว เพราะธาตุอย่างกลางของสัตว์พวกที่มีอวิชชาเป็นเครื่องสกัดกั้น มีตัณหาเป็นเครื่องผูกใจ ด้วย
ประการฉะนี้ จึงมีการเกิดในภพใหม่ต่อไปอีก

ก็กรรมที่อำนวยผลให้อรูปธาตุจักไม่มีแล้ว อรูปภพไม่พึงปรากฏ

เหตุนี้แล กรรมจึงชื่อว่าเป็นไร่นา วิญญาณชื่อว่าเป็นพืช ตัณหาชื่อว่าเป็นยาง เจตนา ความปรารถนาประดิษฐานแล้ว เพราะธาตุอย่างประณีตของสัตว์พวกที่มีอวิชชาเป็นเครื่องสกัดกั้น มีตัณหาเป็นเครื่องผูกใจด้วยประการฉะนี้ จึงมีการเกิดในภพใหม่ต่อไปอีก

ภพย่อมมีได้ด้วยเหตุดังกล่าวมาฉะนี้แล 

 

 

อ้างอิง:
(๑)  วิภังคสูตร พระไตรปิฎกฉบับหลวง เล่มที่ ๑๖ ข้อที่ ๕, ๘ หน้า ๒-๓
(๒)  มหาเวทัลลสูตร พระไตรปิฎกฉบับหลวง เล่มที่ ๑๒ ข้อที่ ๔๙๘ หน้า ๓๘๒
(๓)  สัมมาทิฏฐิสูตร พระไตรปิฎกฉบับหลวง เล่มที่ ๑๒ ข้อที่ ๑๑๙ หน้า ๖๗
(๔)  ภวสูตร พระไตรปิฎกฉบับหลวง เล่มที่ ๒๐ ข้อที่ ๕๑๗ หน้า ๒๑๒-๒๑๓

 

 

คำต่อไป