Main navigation

การจะเป็นผู้รู้ ตื่น เบิกบานทำได้อย่างไร

Q ถาม :

การจะเป็นผู้รู้ ผู้ตื่น ผู้เบิกบานทำได้อย่างไรครับ

A อาจารย์ไชย ณ พล ตอบ :

จะเป็นได้เมื่อบริสุทธิ์ สมบูรณ์เลยคือบริสุทธิ์

รู้ ในขณะที่จิตยังไม่บริสุทธิ์ดี ก็รู้กันอยู่ แต่ความรู้นั้นยังจำกัดมาก มันไหลไปตามอายตนะก็คือใช้วิชาระบบประสาท, ชั่งตวงวัด หรือไหลไปตามความคิดใช้วิชาสมอง แต่สมองก็มีความจำกัดตามชุดความทรงจำ และตาม Neurotransmitter  ดังนั้นรู้ตรงนี้มันจำกัด จำกัดอย่างไร เช่น ถ้าใช้วิชาตา ตาของมนุษย์เห็นแสงแค่ ๓ สีหลัก แล้วมาผสมกันได้หลายสี  แต่สีในธรรมชาติมันมีมากกว่า ๓ สี มีเยอะมาก กั้งสามารถรับเซลล์ pigment สีได้ถึง ๑๖ สี ซึ่งเห็นมากกว่ามนุษย์ ถ้าใช้วิชาหู หูของมนุษย์ก็ได้ยินเสียงแค่ 20-20,000 Hz. แต่เสียงในธรรมชาติเสียงเยอะมากกว่านั้น ดังกว่านั้นก็มี ความถี่น้อยกว่านั้นก็มี แต่หูมนุษย์ไม่ได้ยิน วิชาตา หู จมูก ลิ้น กายนั้นมีข้อจำกัดมาก เราก็รู้อยู่ว่าสิ่งเหล่านี้มันเป็นรู้ที่จำกัด วิชาความคิด วิชาสมอง เป็นวิชาที่สร้างความบิดเบือนมาก เพราะเป็นวิชาที่สร้างสมมติเยอะ สมมติท่านเรียกกันว่าความจริงเทียม บัญญัติขึ้นมาใช้เฉพาะกิจเฉพาะกาล เช่นการเมือง ซึ่งต้องเปลี่ยนแปลงไปตลอดตามกิจตามกาล ไม่มีความแน่นอนใด ๆ ไม่ใช่ความเป็นจริงแท้ ที่อมตะตลอดกาล

สมัยก่อนที่มนุษย์อยู่กันในโลกใหม่ ๆ ก็ไม่ได้มีระบบการเมือง ไม่ได้มีพรรคการเมือง ไม่ได้มีฝ่ายค้านอะไรเลยมันก็ยังสงบสุข แต่มนุษย์ก็ค่อย ๆ สร้างระบบกันขึ้นมาจนเกินความจำเป็น พอเกินความจำเป็นแล้ว ระบบเหล่านั้นเองได้บีบคั้นมนุษย์ มนุษย์ที่เกิดมาทีหลังก็ซุกเข้าไปในระบบ  ยอมจำนนระบบบ้าง เบื่อหน่ายบ้าง เรียนรู้ระบบเพื่อจะเก่งในระบบบ้าง ก็ทำกันได้ แต่ระบบเหล่านี้มันไม่ใช่ความจริงแท้ เป็นความจริงเทียมเท่านั้น กระนั้นเราก็รู้ รู้ไปตามโลก รู้ไปตามระบบ จัดการได้ตามที่โลกสั่งสอน แต่ความเป็นจริงมันมีมากกว่านั้นเยอะมาก อัลเบิร์ต ไอน์สไตน์บอกว่าสิ่งที่มนุษย์รู้ทั้งหมดยังไม่ถึงหนึ่งในพันของหนึ่งเปอร์เซ็นต์ของธรรมชาติทั้งหมด หนึ่งเปอร์เซ็นต์ก็ไม่ถึงนะ ไม่ถึงหนึ่งในพันของหนึ่งเปอร์เซ็นต์ ความเป็นจริงมันไร้ขอบเขต คราวนี้เราจะรู้ความเป็นจริงที่ไร้ขอบเขตได้อย่างไร คือต้องทำจิตเราให้ไร้ขอบเขต เพิ่มศักยภาพรู้อันแรกโดยการเพิ่มจิตให้ไร้ขอบเขต แล้วจิตจะสัมผัสความเป็นจริงที่ไร้ขอบเขตได้ รู้ของเราก็จะสมบูรณ์ขึ้น

ตื่น เราจะตื่นได้อย่างไร เราจะตื่นได้ด้วยความเพียรต่อเนื่อง จิตสามารถที่จะรู้ได้ต่อเนื่องตลอด ๒๔ ชั่วโมงแม้ในขณะหลับ คือการหลับมีอยู่ ๓ ลักษณะ ได้แก่

๑) หลับเงียบหายไปเลย รู้หายไป หลับแบบนี้พักลึก แต่วิวัฒนาการขาดตอน
๒) หลับแล้วกระสับกระส่าย คิดโน่นคิดนี่ พลิกซ้ายพลิกขวา เป็นการหลับของคนบ้าความคิด บ้าข้อมูลทั่วไป
๓) หลับอยู่แต่รู้อยู่ คือร่างกายทั้งหมดพัก จิตทั้งหมดพัก คือไม่มีการปรุงแต่ง แต่มีรู้อยู่ตลอดเวลา อะไรเกิดขึ้นก็รู้อยู่ตลอดเวลา เรานอนที่ไหน หันหัวไปทิศใด รู้อยู่ตลอดเวลา รู้แบบนี้เรียกว่า cosmic consciousness ตื่นรู้ตลอดเวลา แต่ร่างกายหลับ จิตใจหลับ แต่รู้ยังทำงานอยู่ดีมาก ใครได้ตรงนี้จะได้ญาณโดยธรรมชาติ
           
ดังนั้น ความตื่นเราจะทำให้เต็มได้ โดยการเจริญสติให้ต่อเนื่อง และการเจริญสติให้ต่อเนื่องได้ เราต้องเจริญให้เป็นที่สบาย เพราะถ้าไม่สบายมันจะเหนื่อย พอเหนื่อยมันจะหลับแบบป๊อกหายไป กระนั้นต้องเจริญสติให้เป็นที่สบายไม่คร่ำเคร่งจนเกินไป ไม่ย่อหย่อนเกินไป แต่ให้มันสบาย สติจะสบายและบริสุทธิ์ที่สุดเมื่อเข้าสมาธิ พระพุทธเจ้าจึงทรงตรัสว่าในฌานสี่ มีสติบริสุทธิ์และอุเบกขาอยู่ ดังนั้น สตินอกฌานไม่ใช่สติบริสุทธิ์คุณภาพยังต่ำ สติดีที่สุดต้องอยู่ในฌานสี่ รู้ตลอดเวลา นั่นคือการเพิ่มความตื่น จนกระทั่งรู้ตลอด ๒๔ ชั่วโมงเมื่อไหร่ การบรรลุธรรมก็ใกล้
 

เบิกบาน เบิกบานทำได้โดยการทำให้บริสุทธิ์ เมื่อบริสุทธิ์เมื่อไหร่ จะเบิกบานโดยธรรมชาติ วิธีการทดลองง่าย ๆ คือเข้าไปสู่จิตเองโดยไม่มีการปรุงแต่งอะไรเลยในจิตแม้แต่น้อย อยู่กับจิตล้วน ๆ เมื่อเห็นแสงจิตเท่านั้นก็มีรสเบิกบานแล้ว บางคนอาจจะได้เคยสัมผัส เพียงเท่านั้นก็เบิกบานแล้ว แล้วถ้าทะลุจิตปรุงแต่งทั้งหมด จนถึงความบริสุทธิ์แท้ บริบูรณ์แล้ว เบิกบาน เบิกบานมหาศาล จึงบอกว่าศาสนาพุทธคือศาสนาแห่งความสุข นิพพานัง ปรมัง สุขัง

ดังนั้น เจริญรู้โดยการทำจิตให้ไร้ขอบเขต ตื่นโดยการทำความเพียรให้ต่อเนื่อง และเบิกบานโดยการทำจิตให้บริสุทธิ์ ทำได้ก็สุดยอด

เอาล่ะ เลิกคิด เลิกถาม ไปปฏิบัติกันให้จริงจัง