Main navigation

เมื่อต้องอยู่กับคนชอบละเมิดสิทธิผู้อื่น

Q ถาม :

อาจารย์ เมื่อเราพิจารณาปรับความคิด คำพูด การกระทำของเราให้เป็นไปเพื่อประโยชน์สุขแก่ตนแก่ผู้อื่นแล้ว ไม่ประสาทไปบังคับให้คนอื่นคิดพูดทำตามความต้องการของเราแล้ว แล้วกรณีที่มีคนอื่นมาประสาทใส่เรา พยายามใช้เล่ห์เพทุบาย มารยา และทฤษฎีจิตวิทยา หลอกล่อ บังคับ psycho ให้เราทำเพื่อประโยชน์สุขของเขา โดยที่ไม่ใช่ประโยชน์สุขของเรา เราควรจะทำอย่างไรครับ บางคนก็ยังต้องอยู่ด้วยกัน เจอกันอยู่เพราะเป็นญาติ หรือเพื่อนร่วมงาน

ขอความกรุณาท่านอาจารย์ชี้แนะด้วยครับว่าเราควรทำอย่างไร

A อาจารย์ไชย ณ พล ตอบ :

ใช้หลักพรหมฑัณฑ์ของพระพุทธเจ้า 

ในกรณีที่มีใครพยายามละเมิดสิทธิและความสงบสุขของเรา ปฏิบัติต่อเราอย่างไม่ชอบธรรม หรือดื้อรั้นต่อธรรมเอา ego หรือโมหะขึ้นมาเป็นใหญ่ ให้ปฏิบัติดังนี้

1. เตือนด้วยความหวังดีว่า นั่นไม่ใช่ธรรม ไม่ใช่วินัย ไม่ใช่พฤติกรรมของพระอริยะ ถ้าคนมีจิตสำนึกดี ได้รับคำเตือน ก็จะรีบพัฒนาตนโดยเร็ว

2. ถ้าเตือนแล้ว ยังทำอีก ให้หมู่คณะ ignore ความคิด คำพูด การกระทำของคนนั้นโดยสิ้นเชิง โดยไม่ response ไม่ใส่ใจ ไม่รู้สึกรู้สาอะไรกับความคิด คำพูด การกระทำ และพฤติกรรมของคนนั้นแม้แต่น้อย พิจารณาให้เห็นเป็นอากาศธาตุว่างเปล่าไปเลย

ที่เขามีอาการประสาทอย่างนั้นเพราะอยากให้คนสนใจเขา และปฏิบัติต่อเขาอย่างที่เขาต้องการ หากเราสนองตอบ กิเลสของเขาก็โตยิ่งขึ้น อาการประสาทก็กำเริบมากยิ่งขึ้น เพราะการสนองตอบเป็นการยอมรับกิเลส การปฏิบัติตามจึงเป็นการบำรุงเลี้ยงกิเลสเขาให้เติบโตโดยตรง เลี้ยงไว้กัดใคร ก็กัดเจ้าของกิเลสจนจิตใจเพี้ยนประสาทหนักยิ่งขึ้น กัดผู้เกี่ยวข้องรอบข้างจนชีวิตจิตใจวุ่นวาย ไร้ความสงบสุข ขมขื่น จิตเสียไปด้วย ที่แน่ ๆ ความสัมพันธ์จะพังในที่สุด ดังนั้น ผู้สนองตอบกิเลสนั่นแหละคือผู้ร่วมทำลายหมู่คณะ หรือวงศ์ตระกูล หรือองค์กรที่ความสัมพันธ์ประเภทนั้นปรากฏอยู่

หากเราไม่สนองตอบเลย ไม่ใส่ใจเลย เหมือนเขาไม่มีตัวตนเลย เขาก็จะรู้แล้วว่า

2.1 การกระทำอย่างนี้ไม่เป็นที่สนใจ ไม่เป็นที่ยอมรับ เขาก็จะเปลี่ยนพฤติกรรมใหม่ให้ nice ยิ่งขึ้น หรือ

2.2 หากเขามีจิตสำนึกคุณธรรมพอสมควร เขาก็จะเอะใจว่า ใยหนอเวลาเราคิดอย่างนี้ พูดอย่างนี้ ทำอย่างนี้ จึงไม่มีใครใส่ใจ ไม่มีใครยอมรับ ทำให้เราต้องอับอายเป็นทุกข์ ชะรอยความคิด คำพูด การกระทำเหล่านี้จะเป็นอธรรม มาจากกิเลสของเราเอง เพื่อจะได้เป็นที่ยอมรับในหมู่ธรรมชน เราต้องเอากิเลสนี้ออก แล้วคิด พูด ทำใหม่โดยธรรม กิเลสของเขาก็จะถูกวิปัสสนาญาณ + วิราคะของเขา จัดการถอนรากถอนโคน กลายเป็นคนดีแท้ขึ้นมาได้ ท่านฉันนะสำเร็จอรหันต์ได้เพราะถูกพระพุทธองค์สั่งลงพรหมฑันฑ์ และเกิดสำนึกนี้ นี่ผลของพรหมฑัณฑ์

3. แต่หากคนนั้นเป็นคนพาล ไร้จิตสำนึกที่ดีงาม ไม่ปรับปรุงตัวเองเลย พระพุทธองค์ให้ปฏิบัติอีก 3 ระดับ คือ

3.1 ไม่ร่วมสังฆกรรม คือการสวดมนต์ภาวนาและพิธีต่าง ๆ ด้วย ให้แยกกันทำ จนกว่าจะมีสำนึกและปรับตัวให้ถูกธรรม ถูกวินัย

3.2 หากโวยวาย ก็ให้ขับออกจากหมู่

3.3 หากทำสิ่งที่เป็นโทษต่อหมู่คณะ ต่อพระธรรม ต่อพระพุทธเจ้า ให้จับสึกทันที การจับสึกคือการประหารจากความเป็นพระนั่นเอง

หากเป็นเพื่อนร่วมงาน ถ้าเราเป็นเจ้าของ ก็แค่ให้เขาออกจากบริษัทไป ถ้าเราเป็น visitor ก็แค่จากบริษัทนั้นไป

หากเป็นญาติ แม้เราประหารความเป็นญาติไม่ได้ แต่เราประหารความผูกพัน ความพัวพันได้ ถ้ามาตรฐานธรรมวินัยไปกันไม่ได้จริง ๆ ก็ไม่ควรมีปฏิสัมพันธ์กันให้ต้องลงนรกทั้งคู่ เมื่อเข้ากันไม่ได้โดยธรรม ควรตัดเยื่อใยให้ขาด เหลือแต่ไมตรียามจำเป็นเล็กน้อยเพื่อป้องกันไม่ให้กิเลสออกมากัดกัน

ในมูลนิธิของเรา ครูบาอาจารย์ก็ให้ใช้มาตรฐานนี้ จึงมีคนที่ต่ำกว่ามาตรฐานธรรมหลุดกระเด็นออกไปเป็นระยะ แต่ก็พยายามทำอย่าง soft ที่สุด เพื่อไม่ให้ใครต้องเสียอนาคต แต่ก็ไม่ปล่อยให้ใครทำลายมาตรฐานธรรมวินัย เพราะเราจะสร้างสถานศักดิ์สิทธิ์ ทุกคนที่อยู่ที่นี่ต้องหมดจดโดยธรรมและโดยวินัย