ทำอย่างไรเมื่อคนใกล้ชิดก้าวก่ายบงการชีวิตเรา
ท่านอาจารย์ครับ เวลามีคนใกล้ชิดชอบก้าวก่าย พยายามบงการชีวิตเราและคนอื่น เราควรสนองตอบอย่างไรดีครับ ผมพยายามอดทนไม่หักหาญเพราะรู้ว่าเขาหวังดี แต่ทนมาก ๆ ก็อึดอัด ตอนนี้ลามไปถึงคุณแม่แล้ว คุณแม่รู้สึกเครียด จิตใจผมไม่ปลอดโปร่งในการทำงานเลยครับ ขอความเมตตาจากท่านอาจารย์ด้วยครับ
เขากำลังทำผิดสามกฎ เราก็อาจถลำทำผิดสามกฎ จริง ๆ แล้ว มี guidance เดียวที่เราควรพิจารณาตาม
การจุ้นจ้านก้าวก่ายชีวิตคนอื่น ผิดอะไรบ้าง
1. ผิดกฎหมาย ละเมิดสิทธิเสรีภาพส่วนบุคคล
2. ผิดกฎแห่งกรรม เบียดเบียนชีวิตจิตใจของผู้อื่นให้เป็นไปตามปรารถนา (กิเลส) ของตน (ไม่ใช่ความหวังดี แม้เขาจะอ้างอย่างนั้นก็ตาม อย่าเข้าใจผิด) การที่ลามไปถึงคุณแม่ กรรมนี้มีนรกเป็นที่ไปเท่านั้น ไม่ไปที่อื่น
3. ผิดกฎแห่งธรรม พยายามเอาอัตตาของตนไปครอบงำคนอื่น ทั้ง ๆ ที่ความเป็นจริงทุกอย่างเป็นอนัตตาทั้งหมด
ผลของการเบียดเบียนชีวิตจิตใจผู้อื่น อย่างน้อยต้องไปเป็นเดรัจฉาน อย่างมากไปนรก
หากเรายอมให้ผู้อื่นจุ้นจ้านก้าวก่ายชีวิตเรา เราผิดอะไรบ้าง
1. ผิดต่อตนเอง ไม่รักษาชีวิตจิตใจสิทธิเสรีภาพของตน ปล่อยให้ผู้อื่นมารุกรานได้ ศักยภาพและพลังในตนจะสูญหาย
2. ผิดต่อกฎแห่งกรรม เพราะทุกคนมีกรรมเป็นของของตน เจตนาคือกรรม มนุษย์จึงมี free will ที่จะสร้างกรรมอย่างไรก็ได้เพราะตนเป็นผู้รับผิดชอบต่อผลของกรรมนั้น การให้คนอื่นมาบงการชีวิตจิตใจ จึงเป็นการไปแบกกิเลสคนอื่น วิ่งตามกิเลสคนอื่น ผลก็ต้องรับกรรมเช่นกัน เขาก็ต้องรับกรรมหนักเช่นกัน
3. ผิดต่อกฎแห่งธรรม บุคคลจะบรรลุธรรมได้ จิตต้องเป็นอิสระ ไม่มีการปรุงประกอบใด ๆ การเอาอิทธิพลของผู้อื่นมาปรุงประกอบความรู้สึก ความคิด และแม้วิถีชีวิตของเรา เป็นการทำร้ายการบรรลุธรรมโดยตรง
ผลของการให้ผู้อื่นมาเบียดเบียนชีวิตจิตใจตน เสียชาติเกิด หมดโอกาสบรรลุธรรม สร้างกรรมพัวพันให้ต้องไปชดใช้กันไปมาอีกนานแสนนาน (วัฏฏะอันน่าสงสาร)
Guidance เดียวที่เราควรพิจารณาตาม
คือ แสงสว่างแห่งความบริสุทธิ์ ปัญญา กรุณา ที่พาเราพ้นทุกข์ หลุดจากอวิชชา พ้นพันธนาการแห่งสังโยชน์ได้จริง
ผู้ที่ทำหน้าที่นี้ได้ดีที่สุด คือ พระพุทธเจ้า นี่คือผู้ที่เราควรเดินตามอย่างแท้จริง
เราควรสนองตอบอย่างไรต่อคนชอบจุ้นจ้านก้าวก่ายชีวิตเราและคนอื่น
พระพุทธเจ้าให้หลักไว้ว่า "เมื่อเธออยู่กับใครแล้ว กุศลธรรมเจริญ อกุศลธรรมเสื่อม เธอพึงอยู่กับผู้นั้น แม้เขาไล่ก็ไม่ต้องไป แต่หากเธออยู่กับใครแล้ว อกุศลธรรมเจริญ กุศลธรรมเสื่อม เธอพึงหลีกให้ไกลจากผู้นั้น แม้เขารั้งไว้ก็ไม่ต้องอยู่"
ดังนั้น
1. หากเป็นฐานะสัมพันธ์ที่ตัดได้ เลิกคบทันที อย่ารีรอ
2. หากเป็นฐานะสัมพันธ์ที่พอตัดได้ แต่ทันทีไม่ได้ ให้ถอยห่างอย่างค่อยเป็นค่อยไป จนชีวิตไม่มาข้องแวะกันอีก
3. หากเป็นฐานะสัมพันธ์ที่ตัดขาดไม่ได้ ทำดังนี้
3.1 ประกาศสิทธิเสรีภาพแห่งชีวิตจิตใจ ห้ามก้าวก่าย ต้องประกาศสิทธิ์ของตนให้เขารู้ และสั่งหยุดพฤติกรรมก้าวก่ายนั้น อย่าไปใช้วิธีเถียง หรือพยายามอธิบายให้เข้าใจ จะไม่มีวันจบ การเอาทิฏฐิหรือเหตุผลมาเถียงกัน จิตใจจะยิ่งบอบช้ำ
3.2 หากสถานการณ์บานปลาย ก่อให้เกิดบาปมากมายอย่างนี้ ทางออกที่ดีที่สุดคือให้ไปบวช เอาตัวให้รอดจากทุกข์และอวิชชาให้ได้ นี่เป็นวิธีเดียวที่จะหลุดจากบาปทั้งหลายได้ด้วย
3.3 หากเขาไม่บวช เราบวชหนีจากเขาเลย ผู้หญิงก็บวชได้ ผู้ชายก็บวชดี การบวชเป็นการ reset ชีวิตจิตใจใหม่ เห็นทางออกใหม่ การเริ่มต้นชีวิตมิติใหม่ พวกเราก็บวชอุโบสถกันหลายคน เข้าทีมนักบวชเคร่งครัดเลย
พระพุทธเจ้าตรัสว่า "ทุกข์ไม่ใช่สิ่งที่เราทำเอง ทุกข์ไม่ใช่สิ่งที่คนอื่นทำให้ ทุกข์มี เพราะอวิชชามี ทุกข์ไม่มี เพราะอวิชชาไม่มี" จึงเป็นหน้าที่ของทุกคนที่ต้องเอาอวิชชาออกจากจิตให้ได้ ไม่ใช่เอาอวิชชาของตนไปบงการชีวิตคนอื่น หรือยอมวิ่งตามอวิชชาของคนอื่น จะพากันลงอบายทั้งหมด
วิปัสสนาสัจธรรมนี้ให้แตก แล้วจะหลุดออกจากปัญหาได้ บวชหรือไม่บวชก็ต้องวิปัสสนากันทุกคน