Main navigation

ทิฏฐิ ๖๒

Q ถาม :

ท่านอาจารย์ครับ มิจฉาทิฏฐิ 62 ในพรหมชาลสูตร ผมดูเนื้อในแล้ว บางอย่างก็คือวิชาดาราศาสตร์ดี ๆ นี่เอง บางอย่างเป็นวิชาชีววิทยาที่เราเรียนกันมา นั่นแปลว่าวิทยาศาสตร์ก็เป็นมิจฉาทิฏฐิด้วยหรือครับ

A อาจารย์ไชย ณ พล ตอบ :

ทิฏฐิ ๖๒ ในพรหมชาลสูตรนั้น พระพุทธองค์ทรงจำแนกโครงข่ายความคิดที่มนุษย์ เทวดา พรหมทั้งหลาย ครุ่นคิดหาคำตอบกันมานานแสนนาน แต่ไม่เคยได้ความกระจ่างจริงเลย จึงเรียกว่า ข่ายทิฏฐิ

ทิฏฐิ ๖๒ เป็นอกุศลทิฏฐิทั้งหมด แต่ที่เป็นมิจฉาทิฏฐิมีเพียงชุดเดียว ลองไปดูรายละเอียดดี ๆ นะ

ที่ทิฏฐิ ๖๒ เป็นอกุศลทิฏฐิ เพราะยิ่งคิดยิ่งสงสัย (วิจิกิจฉางอก) ยิ่งสงสัยยิ่งฟุ้งซ่านคิดพล่านไป (อุทธัจจะงอก) พอรู้อะไรนิด ๆ หน่อยก็ยึดถือเป็นจริงเป็นจัง (ทิฏฐุปาทานงอก) ยิ่งเชื่อมั่นว่าตนคิดถูกแล้ว ความสำคัญตนก็เกิดขึ้น (มานะงอก) ครั้นรู้แล้วอยากบอกให้คนอื่นรู้และเชื่อตามตน (โลภะงอก) แต่ไม่นานก็มีนักคิดอื่นมาหักล้างความเชื่อเดิมของตนด้วยทฤษฎีใหม่ จึงเกิดการต่อสู้กันทางความคิด (โทสะงอก) แต่ทั้งหมดนั้นไม่อาจสรุปลงสัจจะแท้ได้สักที เป็นแค่ความคิดหนึ่งที่ยึดถือ เชื่อ และปฏิบัติตามไป (โมหะงอก)

ตัวอย่างเช่น จุดกำเนิดและจุดจบจักรวาล หรือจักรวาลไม่มีจุดเริ่มต้นและจุดจบ เทพพรหมคิดกันมาตั้งแต่ก่อนดวงอาทิตย์เกิดแล้ว จนดวงอาทิตย์ดับไปหลายดวงหลายรอบแล้ว จนบัดนี้ก็ยังคิดไม่จบ ไม่พบความจริงแท้สักที เป็นต้น

หรือแม้แต่จุดเป็นจุดตายของชีวิต เถียงกันมาดึกดำบรรพ์แล้ว จนบัดนี้ก็ยังไม่จบ ไม่พบคำตอบที่เป็นสัจจะหนึ่งเดียวสักที

บ้างก็บอกว่า ตายตอนหัวใจหยุดเต้น ก็คนไข้หัวใจหยุดเต้นแล้ว หมอยังปั๊มหัวใจให้กลับมาเต้นได้ แสดงว่าหมอโกงความตายอย่างนั้นหรือ

บ้างก็บอกว่า ตายตอน brain dead แต่หมอหยุดใช้เครื่องช่วยหายใจแล้ว ยอมรับให้ตายแล้ว brain ยังทำงานต่อเนื่องอีก +- 20 นาที จนหมดออกซิเจนเลี้ยงสมอง brain จึง dead แสดงว่าหมอฆ่าคนไข้หรือ เห็นไหม ยิ่งคิดยิ่งสงสัย ยิ่งฟุ้งซ่าน กลไกกิเลสงอกเติบโต เป็นต้น

จะเห็นได้ว่าทิฏฐิเหล่านี้ ไม่มีสัจจะที่แท้จริงในตัวเอง เป็นแค่ทฤษฎีหนึ่ง ๆ เท่านั้น คิดไปกิเลสก็งอกไปเปล่า ๆ จึงเรียกว่า อกุศลทิฏฐิ ไม่มีประโยชน์ที่จะคิดพล่านไปหรือยึดถือไว้


มิจฉาทิฏฐิ

ส่วนทิฏฐิที่เป็นมิจฉาจริง ๆ คือข่ายความคิดที่ว่า

๑. ความเห็นว่า ทานที่บุคคลให้แล้วไม่มีผล

๒. ความเห็นว่า การบูชาพระรัตนตรัยไม่มีผล

๓. ความเห็นว่า การบูชาเทวดาไม่มีผล

๔. ความเห็นว่า ผลวิบากของกรรมดีและกรรมชั่วไม่มี

๕. ความเห็นว่า โลกนี้ไม่มี

๖. ความเห็นว่า โลกหน้าไม่มี

๗. ความเห็นว่า มารดาไม่มี

๘. ความเห็นว่า บิดาไม่มี

๙. ความเห็นว่า สัตว์ที่จุติและเกิดไม่มี

๑๐. ความเห็นว่า สมณพราหมณ์ ผู้ปฏิบัติดี ปฏิบัติชอบ รู้ยิ่งเห็นแจ้ง ประจักษ์ซึ่งโลกนี้และโลกหน้าด้วยตนเองแล้ว ประกาศให้ผู้อื่นรู้ได้ ไม่มีในโลก


กุศลทิฏฐิ สัมมาทิฏฐิ

แล้วอะไร คือ กุศลทิฏฐิ คิดแล้วเกิดประโยชน์  

ทิฏฐิที่เป็นกุศล คิดแล้วเกิดประโยชน์จริง คือ สัมมาทิฏฐิ

คิดชัดรู้ชัด ว่า นี้ทุกข์ กำหนดรู้ตามเป็นจริงแล้ว

คิดชัดรู้ชัด ว่า นี้สมุทัย กำหนดละได้จริงแล้ว

คิดชัดรู้ชัด ว่า นี้นิโรธ ภาวะไร้ทุกข์ ทำให้แจ่มแจ้งได้จริงแล้ว

คิดชัดรู้ชัด ว่า นี้มรรค กระบวนการสู่ความพ้นทุกข์ เจริญจริงบนกระบวนการนี้ จนถึงเส้นชัย หรือใกล้แล้ว

นี่คือสิ่งที่ยิ่งคิด ยิ่งเข้าถึงสัจจะจริง ยิ่งปฏิบัติ ยิ่งพ้นทุกข์ได้จริง ยิ่งพ้นทุกข์ ยิ่งพบสุขแท้จริง จนถึงที่สุดวิวัฒนาการ คือ บรมสุข อมตะอยู่ในบรมว่าง


การรู้ความจริงโดยไม่ต้องคิด

เมื่อเราเจริญสัมมาทิฏฐิจนถึงสัมมาสมาธิ จะเกิดสัมมาญาณะ (รู้โดยไม่ต้องคิด) และสัมมาวิมุตติ หลุดพ้นจากทุกข์และความหลงผิดสิ้นเชิง

เช่น ท่านพระอนุรุทธสามารถตรวจดูพันโลกธาตุ (กาแล็กซี) ได้ตามปรารถนา โดยไม่ใช้กล้องดูดาวใด ๆ เลย เป็นการเห็นของจริงแท้ ๆ โดยไม่ต้องคิดเลย

ท่านพระมหาโมคคัลลานะเหาะไปสำรวจจักรวาล ไกลแสนไกล ผ่านกาแล็กซี เนบิวลา พัลซาร์ หลุมดำ และอื่น ๆ มากมาย โดยไม่ต้องใช้ยานอวกาศใด ๆ เลย นี่เป็นการพบ การสัมผัสของจริงแท้ ๆ โดยไม่ต้องคิดเลย 

ท่านพระโมฆราชเห็นโลกและจักรวาลเป็นของว่างเปล่าเพราะจิตบริสุทธิ์ พุทธะของท่านเป็นอิสระจากจักรวาล พุทธะย่อมเหนือจักรวาลทั้งปวง โดยไม่ต้องคิดอะไรเลย

พระผู้มีพระภาคทรงรู้ทุกสิ่งด้วยสัพพัญญุตญาณ โดยไม่ต้องคิดเลย

ดังนั้น หยุดคิด แล้วมาพัฒนา "จิต" อันเป็นธาตุรู้ให้บริสุทธิ์ แล้วจะรู้ในสิ่งที่ควรรู้ โดยไม่ต้องคิดให้เหนื่อยและสูญเปล่าเพราะไม่เจอความจริงแท้สักที

จง "รู้ด้วยรู้บริสุทธิ์" จึงจะรู้จริง เจอของจริง

นี่คือศาสตร์ชั้นสูง ที่พระพุทธองค์ทรงประทานไว้ให้ จงรีบพัฒนาใช้ก่อนที่จะสูญหายไปจากโลก
 

 

 

ที่มา
6 April 2023