Main navigation

ทำไมมิจฉาธรรมจึงเป็นเรื่องใหญ่ และจะจำแนกสัมมาธรรมกับมิจฉาธรรมได้อย่างไร

Q ถาม :

มีคนฝากเรียนถามมาค่ะ ทำไมมิจฉาธรรมจึงเป็นเรื่องใหญ่โตคะ เท่าที่พวกเราจำได้ ตอนเริ่มตั้งมูลนิธิฯ ก็มีบางท่านที่ทุ่มเทมาก ก็ต้องออกไปเพราะมิจฉาธรรม บางบริษัทก็ต้องออกไปเพราะมิจฉาธรรม และอีกหลายท่าน เพราะอะไรจึงดูเหมือนเป็นเรื่องซีเรียส ทั้ง ๆ ที่น่าจะเป็นเรื่องเล็กน้อย อีกท่านหนึ่งถามว่า จะจำแนกสัมมากับมิจฉาได้อย่างไร และหากพลาดไปแล้ว จะแก้ไขได้อย่างไรคะ และอีกหลายท่านบอกเสียว ไม่อยากให้พลาดค่ะ ขอความกรุณาท่านอาจารย์ด้วยค่ะ

A อาจารย์ไชย ณ พล ตอบ :

เพราะมิจฉาธรรมเป็นตัวตั้งต้นให้เกิดมิจฉาจิต มิจฉาทิฏฐิ มิจฉาดำริ มิจฉาวาจา มิจฉากรรม มิจฉากิจ มิจฉาวายามะ มิจฉาสติ มิจฉาสมาธิ มิจฉาญาณะ มิจฉาวิมุตติ และมิจฉาภูมิ ความเสียหายทั้งปวงนี้มีจุดเริ่มต้นมาจากมิจฉาธรรม มิจฉาธรรมจึงเป็นต้นกำเนิดแห่งความเลวร้าย ผิดพลาด และทุกข์ทั้งปวง จึงเป็นเรื่องใหญ่ ผู้ปรารถนาความเจริญอันบริสุทธิ์ยั่งยืน จึงต้องใส่ใจ ป้องกัน และชำระล้างมิจฉาธรรมอย่างจริงจัง (ซีเรียส) 

Consequential Effect of มิจฉาธรรม

ตัวอย่างสัมมาธรรมกับมิจฉาธรรม และผลต่อเนื่อง

สัมมาธรรม

"สัพเพธัมมา อนัตตาติ สิ่งทั้งปวงไม่เป็นตน" (พระสัมมาสัมพุทธเจ้า)

มิจฉาธรรม 

"ต้องทำตัวให้ใหญ่เข้าไว้ อย่าให้ใครมาข่มได้" (คนหลงตน)
"ต้องทำตัวให้เล็กเข้าไว้ คนจะได้รักและเอ็นดู" (คนหลงคนอื่น)

อัตตาทั้งหมด เกิดจากอวิชชากับอุปาทาน 

ผลต่อเนื่อง 1 - มิจฉาปฏิปทา

อัตตา แปลว่า ผู้เสพทุกข์เป็นอาจิณ ทำหน้าที่เสพ สะสม และแพร่ระบาดทุกข์

ดังนั้น หากยังมีอัตตา ก็ยังเสพ สะสม แพร่ระบาดทุกข์อยู่

ผลต่อเนื่อง 2 - มิจฉาทิฏฐิ

อัตตา ปรุงแต่งนิยามปั้นตนให้เป็นต่าง ๆ เช่น

ฉันทุกข์เหลือเกิน - ฉันสุขเหลือเกิน

ฉันเก่ง ต้องทำได้ - ฉันกิ๊กก๊อก ทำไม่ได้หรอก

ฉันดี - ฉันเลว

ฉันรู้เยอะ - ฉันไม่รู้อะไรเลย

ฯลฯ

ผลต่อเนื่อง 3 - มิจฉาทิฏฐิ และมิจฉาดำริ

อัตตา สร้างมานะกิเลสต่อเนื่อง งานของมานะกิเลส คือ เปรียบตนกับคนอื่น

อาการของมานะกิเลสนัยที่ ๑

สำคัญว่าตนเลิศกว่าเขาในอดีต
สำคัญว่าตนเสมอเขาในอดีต
สำคัญว่าตนเลวกว่าเขาในอดีต

สำคัญว่าตนเลิศกว่าเขาในปัจจุบัน
สำคัญว่าตนเสมอเขาในปัจจุบัน
สำคัญว่าตนเลวกว่าเขาในปัจจุบัน

สำคัญว่าตนจะเลิศกว่าเขาในอนาคต
สำคัญว่าตนจะเสมอเขาในอนาคต
สำคัญว่าตนจะเลวกว่าเขาในอนาคต

อาการของมานะกิเลสนัยที่ ๒

เลิศกว่าเขา สำคัญว่าตนเลิศกว่าเขา
เลิศกว่าเขา สำคัญว่าตนเสมอเขา
เลิศกว่าเขา สำคัญว่าตนเลวกว่าเขา

เสมอเขา สำคัญว่าตนเลิศกว่าเขา
เสมอเขา สำคัญว่าตนเสมอเขา
เสมอเขา สำคัญว่าตนเลวกว่าเขา

เลวกว่าเขา สำคัญว่าตนเลิศกว่าเขา
เลวกว่าเขา สำคัญว่าตนเสมอเขา
เลวกว่าเขา สำคัญว่าตนเลวกว่าเขา

ผลต่อเนื่อง 4 - มิจฉาวาจา

เมื่อมีการเปรียบว่าตนสูงกว่าเขา เสมอเขา ต่ำกว่าเขาแล้ว ก็เกิดการปั้นปรุงวาจาตามที่ตนเข้าใจและหลอกตนเอง และปรุงวาจาที่จะทำให้คนอื่นยอมรับ หรือยอมเห็นใจตัวตนที่ตนปั้นแต่งขึ้น การปรุงแต่งวาจาที่ไม่ใช่สัจจะจริง ล้วนเป็นมิจฉาวาจา

ผลต่อเนื่อง 5 - มิจฉากรรม

เมื่อมีการเปรียบตนกับคนอื่นแล้ว จึงเกิดมิจฉากรรมตามมา

พวกที่คิดว่าตนเหนือกว่าเขา ก็จะเบียดเบียนคนอื่นเพื่อตน

พวกที่คิดว่าตนด้อยกว่าเขา ก็จะเบียดเบียนตนเพื่อคนอื่น

พวกที่คิดว่าตนเสมอเขา ก็จะเบียดเบียนคนหนึ่งเพื่ออีกคนหนึ่ง

ผลต่อเนื่อง 6 - มิจฉากิจ

เมื่อมีมิจฉากรรม กิจที่ทำด้วยมิจฉากรรม ก็เป็นมิจฉากิจ มิจฉาอาชีโว

เช่น นักการเมือง ตั้งใจดี และหวังดีต่อบ้านเมือง แต่เพราะการเปรียบเทียบ และการเบียดเบียนโดยระบบ วิธีการจึงไม่เป็นกุศล เต็มไปด้วยการแข่งดี อวดดี สร้างศัตรู ทำลายล้างกัน จนยับเยินทั้งคู่ โดยกลไก ก็เกิดการเอาเปรียบประเทศชาติและประชาชน ทั้งด้วยตนเองบ้าง ด้วยการอนุญาตให้ผู้อื่นทำบ้าง ซึ่งล้วนเป็นมิจฉากิจ

ผลต่อเนื่อง 7 - มิจฉาวายามะ

เมื่อตั้งจิตทำกิจผิด ความพยายามทั้งหลายก็เป็นไปเพื่อเพิ่มกิเลสตัณหา โลภะ โทสะ โมหะ งอกงาม

การตั้งจิตทำกิจผิด ทำให้กุศลไม่เกิด แม้อยากดี ทำดี ก็มีกิเลสแอบแฝงเสมอ

ผลต่อเนื่อง 8 - มิจฉาสติ

เมื่อศีลไม่สะอาด ไม่มีกุศล การตั้งสติอยู่กับกาย เวทนา จิต ธรรม ก็ทำไม่ได้ ทำให้ไม่เห็นความเป็นจริงต่าง ๆ ภายในตน

ผลต่อเนื่อง 9 - มิจฉาสมาธิ

เมื่อไม่มีสัมมาสติ พวกนี้ก็จะเข้าสมาธิไม่ได้เลย 

ผลต่อเนื่อง 10 - มิจฉาญาณะ

เมื่อไม่มีสมาธิ ก็ไม่สามารถเห็นสัจจะตรงจริงตามจริงได้ ก็จะปรุงแต่งหรือแสวงหา beautiful ideas มาหลอกล่อตน ชโลมใจให้สบายในวิถีที่ตนทำอยู่ พวกนี้จะชอบแนวคิดดี ๆ ฉลาด ๆ เพราะเข้าไม่ถึงสัจธรรมแท้

ผลต่อเนื่อง 11 - มิจฉาวิมุตติ

แม้จะพยายามดิ้นรนหลุดพ้นอย่างไร ก็ไปมิจฉาวิมุตติเสมอ หมดสิทธิ์พ้นทุกข์ ตราบที่ไม่เอาอัตตาออก

ผลต่อเนื่อง 12 - มิจฉาภูมิ

จำได้ไหมที่พระพุทธเจ้าตรัสไว้ "ผู้สมาทานมิจฉาทิฏฐิ ย่อมมีอบาย ทุคติ วินิบาต นรกเป็นที่ไป"

กลไกทั้งหมดนี้เป็นผลงานของอวิชชา เป็นโมหะจิต โมหะจิตต้องลงอบาย ส่วนใหญ่ไปเดรัจฉาน กรรมเบียดเบียนก็ต้องลงอบาย ไปเปรตบ้าง เดรัจฉานบ้าง นรกบ้าง

เพราะอัตตาอีกเช่นกัน ชนรุ่นหลังมักสอนธรรมบรรพชนโดยไม่อ้างอิง (มหาโจร) สติปัญญาจะเสื่อม เสียหาย และต้องลงอบาย ฯลฯ

โดยรวม มิจฉาธรรมจึงมีอบายเป็นที่ไป

ด้วยเหตุที่มนุษย์ยุคนี้สมาทานปนเปื้อนมิจฉาธรรมกันมาก พระผู้มีพระภาคจึงตรัสไว้ว่า

"สัตว์ที่จุติ (เคลื่อน) จากมนุษย์แล้วกลับมาเกิดเป็นมนุษย์และเทวดา มีเป็นส่วนน้อย สัตว์ที่จุติ (เคลื่อน) จากมนุษย์แล้วไปเกิดใน นรก เดียรัจฉาน ปิตติวิสัย (เปรต) มีมากกว่าโดยแท้" (พระไตรปิฎก ๒๐/๒๐๖/๓๘)

ทั้ง ๆ ที่โดยความเป็นจริง ตัวตนไม่มี แต่มิจฉาธรรมสามารถปั้นแต่งตัวตนขี้นมา และปรุงให้เป็นต่าง ๆ เตลิดไปเสพทุกข์ สร้างกิเลส และบาปกรรมนานา พาวิบัติได้ถึงเพียงนี้

นี่แค่มิจฉาธรรมตัวเดียวนะ ยังสร้างความวิบัติให้แก่ชีวิตจิตใจเพียงนี้ ลองประเมินดู หากมีมิจฉาธรรมหลายตัวพร้อมกัน ชีวิตจิตใจจะยับเยินเพียงใด ด้วยเหตุนี้ การทำดีก็ตาม ชั่วก็ตาม ด้วยมิจฉาธรรมนั้น ยังไงก็ต้องลงอบาย ดีด้วยมิจฉาธรรมจึงเป็นความดีที่สูญเปล่า 

เมื่อมิจฉาธรรมมีโทษมากเป็นภัยใหญ่อย่างนี้ ก็อย่าประมาท รีบชำระล้างออกจากจิตให้หมดสิ้นโดยเร็ว เพื่อความปลอดภัยของตนเอง

การจำแนกสัมมาธรรม กับมิจฉาธรรม

1. แยกสัจจะ (ความจริงแท้) ออกจากอสัจจะ (ความเท็จ และความจริงเทียม-สมมติ) ให้ชัดขาด

2. กรณีคาบเกี่ยว เช่น ผสมปนกันอยู่ ให้ประเมินผลต่อเนื่องให้ชัดตลอดสาย

3. เทียบกับหลักธรรมที่พระพุทธองค์ทรงให้แล้วโดยละเอียดถ่องถ้วน

หากพลาดไปกับมิจฉาธรรมแล้ว จะแก้ไขได้อย่างไร

1. ละการสมาคมกับมิจฉาชนผู้วิ่งตามมิจฉาธรรมทันที อยู่กับสัมมากัลยาณมิตร ผู้ตั้งมั่นในสัมมาธรรม ปฏิบัติตามสัมมาธรรมเสมอ

2. เจริญธัมมวิจัย จำแนกสัมมากับมิจฉาในทุกมิติชีวิตให้ชัดเจน เลือกสัมมาธรรมเสมอ ละมิจฉาธรรมให้เด็ดขาด

3. ละความฟุ้งซ่าน ความคิดเห็นนานา อันเป็นลูกของอวิชชาเสีย ตั้งตรงมั่นคงกับสัจธรรม เป็นไงเป็นกัน ไม่มีข้อแม้ใด ๆ 

4. ฝึกจิตให้ลึก ส่องสำรวจในจิตว่ามีมิจฉาธรรมติดตกค้างอยู่ในระบบหรือไม่ หากมี กำหนดละ ล้างออกให้หมด

5. มุ่งมั่นเจริญญาณ ดับอวิชชาผู้ปรุงแต่งมิจฉาธรรมทั้งปวงให้ขาดสูญ จึงปลอดภัย พ้นทุกข์ถาวร

สรุป

มิจฉาธรรมนี่เองที่ทำให้สัตว์โลกทั้งหลายหลงผิดอยู่ในวงกตแห่งวัฏฏะอันน่าสงสาร

พุทธวิธีปฏิบัติธรรม คือ การล้างมิจฉาธรรม ยกจิตสู่สัมมาธรรมโดยตรง เมื่อถึงสัมมาวิมุตติ ก็หลุดพ้นจากมิจฉา อวิชชา และทุกข์ทั้งปวงตลอดกาล

ใครปรารถนาความเจริญที่ปลอดภัยจริง ก็ต้องรีบปฏิบัติธรรมตามพุทธวิธีจริงจัง อย่ามัวแต่ฟุ้งซ่าน อวดเก่งไปในมิจฉาธรรม จะเสียหายต่อเนื่องยาวนาน และเสียชาติเกิดไปอีกหนึ่งชาติโดยเปล่าประโยชน์ แถมได้โทษต้องลงอบาย

ที่นี่เราสร้างถวายพระพุทธเจ้า จำเป็นต้องรักษา ปฏิบัติตามมาตรฐานพระพุทธเจ้าอย่างซื่อตรง จะเอามาตรฐานอื่นใดที่เป็นอธรรม มิจฉาธรรมมาปนเปื้อนไม่ได้ 

ปกติใครมีมิจฉาธรรมติดมา ปนเปื้อนมา ก็จะแก้และชำระล้างให้ แต่ถ้าล้างให้สามครั้งแล้ว ยังไม่เข้าใจ ยังไม่ตั้งใจ ยังออกจากมิจฉาธรรมสู่สัมมาธรรมไม่ได้ ก็จะปล่อยวางตามมาตรฐานที่พระพุทธองค์ทรงปฏิบัติกับภิกษุทั้งหลาย

ใครหรือองค์กรใดที่สัมมาธรรม 100% หรือมุ่งมั่นแน่วแน่สู่สัมมาธรรม 100% ปรารถนาจะร่วมสร้าง masterpiece แห่งชีวิตถวายพระพุทธเจ้า ก็เปิดโอกาสและส่งเสริมให้เจริญบริสุทธิ์บริบูรณ์เต็มที่

 

 

ที่มา
25 April 2023