Main navigation

ปายาสิราชัญญสูตร

ว่าด้วย
ปัญหาของเจ้าปายาสิ
เหตุการณ์
พระกุมารกัสสปแก้ทิฏฐิเจ้าปายาสิว่า โลกหน้าไม่มี เหล่าสัตว์ผู้ผุดเกิดขึ้นไม่มี ผลวิบากของกรรมที่สัตว์ทำดีทำชั่วไม่มี ด้วยคำถามและอุปมาต่างๆ เมื่อพระกุมารกัปปแสดงธรรมจบ เจ้าปายาสิประกาศตัวเป็นอุบาสก ขอถึงพระรัตนตรัยเป็นสรณะ และต้องการบูชายัญ พระกุมารกัสสปจึงแสดงธรรมเรื่องการบูชายัญ เจ้าปายาสิก็เริ่มให้ทานแก่สมณ พราหมณ์ คนเดินทาง คนกำพร้า ยาจก

เหตุที่เจ้าปายาสิมีทิฏฐิว่าโลกหน้าไม่มี เหล่าสัตว์ผู้ผุดเกิดขึ้นไม่มี ผลวิบากของกรรมที่สัตว์ทำดีทำชั่วไม่มี

เจ้าปายาสิได้กล่าวแก่มิตร อำมาตย์ ญาติที่ประพฤติไม่ดีว่าถ้าตายไปแล้วได้ไปนรก ที่ประพฤติดีว่า ถ้าตายไปแล้วได้ไปสวรรค์ หรือเป็นเพื่อนกับเทวดา ให้กลับมาบอกตนด้วยว่าโลกหน้ามีอยู่ เหล่าสัตว์ผู้ผุดเกิดขึ้นมีอยู่ ผลวิบากของกรรมที่สัตว์ทำดีทำชั่วมีอยู่ คนเหล่านั้นรับคำเจ้าปายาสิแล้ว ก็ไม่มีใครกลับมาบอก

ถ้าสมณพราหมณ์ผู้มีศีลเชื่อว่า เมื่อตายไป จะได้พบคุณงามความดี เหตุใดจึงไม่ฆ่าตัวตายเสีย เหตุใดจึงประสงค์จะมีชีวิตอยู่ ไม่ประสงค์จะตาย ยังปรารถนาสุข เกลียดทุกข์

เจ้าปายาสิได้เคยนำนักโทษประหารมาใส่หม้อปิดให้มิดชิดแล้วนำมาเผาไฟ เมื่อรู้ว่านักโทษนั้นตายแล้ว ก็ยกหม้อลงมา กระเทาะหม้อออก แต่ก็ไม่เห็นชีวิตออกจากร่างเลย

ได้เคยนำนักโทษประหารมาชั่งน้ำหนักก่อนจะประหารชีวิต และหลังประหารชีวิต ผู้ที่ยังมีชีวิตอยู่เบากว่า อ่อนกว่า ควรกว่าการงานกว่าผู้ที่ตายแล้ว

ได้เคยสั่งประหารนักโทษโดยไม่ให้ ผิว หนัง เนื้อ เอ็น กระดูก เยื่อในกระดูกช้ำ แล้วนำร่างของนักโทษนั้นพลิกไปพลิกมา ทุบไปทุบมา ลากไป ลากมา แต่ก็ไม่เห็นชีวิตออกจากร่างเลย ตา หู จมูก ลิ้น กาย ก็อันเดิม แต่ไม่รับรู้อะไรผ่านอายตนะทั้ง ๕ แล้ว

ได้เคยนำนักโทษประหารมาเชือดหนัง เฉือนเนื้อ ตัดเอ็น ตัดกระดูก ตัดเยื่อในกระดูก แต่ก็ไม่เห็นชีวิตออกมาจากร่างเลย

ท่านพระกุมารกัสสปได้ยกอุปมาหลายข้อให้เจ้าปายาสิเห็นว่าโดยปริยายของเจ้าปายาสิที่ยกมานั้น ต้องเป็นอย่างนี้ว่า แม้เพราะเหตุนี้ โลกหน้ามีอยู่ เหล่าสัตว์ผู้ผุดเกิดขึ้นมีอยู่   ผลวิบากของกรรมที่สัตว์ทำดีทำชั่วมีอยู่ 

เจ้าปายาสิก็ยังสละคืนทิฐิอันลามกนี้ไม่ได้เพราะพระราชาปเสนทิโกศลก็ดี  พระราชาภายนอกทั้งหลายก็ดีทรงรู้ว่าเจ้าปายาสิมีทิฐิว่า โลกหน้าไม่มี เหล่าสัตว์ผู้ผุดเกิดขึ้นไม่มี  ผลวิบากของกรรมที่สัตว์ทำดีทำชั่วไม่มี

ท่านพระกุมารกัสสปก็ได้ยกอุปมาอีกให้เจ้าปายาสิเห็นว่าทรงแสวงหาปรโลกโดยไม่ถูกทาง จักถึงความวอดวาย ชนเหล่าใดสำคัญทิฐิของเจ้าปายาสิว่า  เป็นสิ่งที่ควรฟัง ควรเชื่อถือ ชนเหล่านั้น ก็จักถึงความวอดวาย 

เจ้าปายาสิก็ยังไม่คืนทิฏฐิอันลามกเสีย โดยกล่าวว่าถ้าตนสละคืนทิฐิอันลามกนี้ ก็จักมีผู้ว่าตนได้ว่า  พญาปายาสิ ช่างโง่เขลาเหลือเกิน ไม่เฉียบแหลม มีปรกติถือสิ่งที่ผิด เจ้าปายาสิจักยึดทิฐินั้นไว้ เพราะความโกรธบ้าง เพราะความลบหลู่บ้าง เพราะความตีเสมอบ้าง

ท่านพระกุมารกัสสปก็ได้ยกอุปมาอื่นๆ อีกเพื่อให้เจ้าปายาสิคืนทิฏฐิ  ท้ายสุดเจ้าปายาสิก็ตรัสว่า ด้วยข้อความอุปมาข้อก่อนๆ ของท่านพระกุมารกัสสป เจ้าปายาสิก็มีความพอใจยินดียิ่งแล้ว แต่ตนใคร่จะฟังปฏิภาณในการแก้ปัญหาที่วิจิตรเหล่านี้ จึงพยายามโต้แย้งคัดค้านท่านกัสสปอย่างนั้น  แล้วเจ้าปายาสิก็ประกาศตนเป็นอุบาสก เข้าถึงพระรัตนตรัยเป็นสรณะ และต้องการบูชายัญ จึงขอให้ท่านพระกุมารกัสสปชี้แจงวิธีบูชายัญเพื่อประโยชน์สุขของตนตลอดกาลนาน

การบูชายัญ

พระกุมารกัสสปกล่าว่า

ยัญที่ต้องฆ่าโค แพะ แกะ ไก่ สุกร หรือเหล่าสัตว์ต่างๆ ต้องถึงความพินาศ และปฏิคาหกก็เป็นผู้มีความเห็นผิด ดำริผิด เจรจาผิด การงานผิดเลี้ยงชีพผิด พยายามผิด ระลึกผิด ตั้งใจผิด เช่นนี้ ย่อมไม่มีผลใหญ่ ไม่มีอานิสงส์ใหญ่ ไม่มีความรุ่งเรืองใหญ่ ไม่แพร่หลายใหญ่ 

ส่วนยัญที่มิต้องฆ่าโค แพะ แกะ ไก่ สุกร หรือเหล่าสัตว์ ต่างๆ ไม่ต้องถึงความพินาศ และปฏิคาหกก็เป็นผู้มีความเห็นชอบ ดำริชอบ  เจรจาชอบ การงานชอบ เลี้ยงชีพชอบ พยายามชอบ ระลึกชอบ ตั้งใจชอบ เช่นนี้ ย่อมมีผลใหญ่ มีอานิสงส์ใหญ่ มีความรุ่งเรืองใหญ่ แพร่หลายใหญ่

การให้ทาน

เจ้าปายาสิเริ่มให้ทานแก่สมณพราหมณ์ คนกำพร้า  คนเดินทาง วณิพกและยาจกทั้งหลายด้วยปลายข้าว ซึ่งมีน้ำผักดองเป็นกับข้าว และได้ให้ผ้าเนื้อหยาบมีชายขอดเป็นปมๆ  อุตตระมาณพ เจ้าหน้าที่ในทานนั้นเมื่อให้ทานแล้วอุทิศอย่างนี้ว่า  ด้วยทานนี้ ขอให้ข้าพเจ้าร่วมกับเจ้าปายาสิในโลกนี้เท่านั้น อย่าได้ร่วมกันในโลกหน้าเลย

เจ้าปายาสิถามอุตตระมาณพถึงเหตุที่อุทิศบุญอย่างนั้น ในทานของเจ้าปายสิให้ปลายข้าว ซึ่งมีน้ำผักดองเป็นกับข้าว  ผ้าเนื้อหยาบมีชายขอดเป็นปมๆ ที่เจ้าปายาสิไม่ทรงปรารถนาจะบริโภคหรือทรงนุ่งห่ม   พระองค์เป็นที่รักเป็นที่พอใจของพวกตน  พวกตนจะชักจูงผู้ซึ่งเป็นที่รักเป็นที่พอใจไปด้วยสิ่งไม่เป็นที่พอใจได้อย่างไร

เจ้าปายาสิจึงให้ทานด้วยโภชนะที่ตนบริโภค ด้วยผ้าที่ตนนุ่งห่ม  

เพราะเหตุที่เจ้าปายาสิมิได้ทรงให้ทานโดยเคารพ มิได้ทรงให้ทานด้วยพระหัตถ์พระองค์เอง มิได้ทรงให้ทานโดยความนอบน้อม ทรงให้ทานอย่างทิ้งให้ ครั้นสิ้นพระชนม์แล้ว เข้าถึงความเป็นสหายกับพวกเทพชั้นจาตุมหาราช

ส่วนอุตตรมาณพซึ่งเป็นเจ้าหน้าที่ในทานของเจ้าปายาสินั้น ให้ทานโดยเคารพ ให้ทานด้วยมือของตน ให้ทานโดยความนอบน้อม  มิได้ให้ทานอย่างทิ้งให้ เบื้องหน้าแต่ตายเพราะกายแตก  เข้าถึงสุคติโลกสวรรค์  คือถึงความเป็นสหายกับพวกเทพชั้นดาวดึงส์

 

---------

สมณพราหมณ์ผู้มีศีล มีกัลยาณธรรม ย่อมจะไม่บ่มผลที่ยังไม่สุกให้รีบสุก   และผู้เป็นบัณฑิตย่อมรอผลอันสุกเอง อันชีวิตของสมณพราหมณ์ผู้มีศีล มีกัลยาณธรรม แปลกกว่าคนอื่นๆ คือว่า สมณพราหมณ์ผู้มีศีล มีกัลยาณธรรม  ดำรงอยู่สิ้นกาลนานเท่าใด   ท่านย่อมประสพบุญมากเท่านั้น และปฏิบัติเพื่อประโยชน์เกื้อกูล เพื่อความสุขแก่คนเป็นอันมาก เพื่ออนุเคราะห์โลก  เพื่อประโยชน์  เพื่อเกื้อกูล  เพื่อความสุข แก่เทวดา และมนุษย์ทั้งหลาย

เมื่อใดกายนี้ประกอบด้วยอายุ ไออุ่น และวิญญาณ

เมื่อนั้นย่อมเบากว่า อ่อนกว่า ควรแก่การงานกว่า 

เมื่อนั้นกายนี้ก้าวไปได้  ถอยกลับได้  ยืนได้ นั่งได้ สำเร็จการนอนได้ เห็นรูปด้วยนัยน์ตาได้  ฟังเสียงด้วยหูได้ ดมกลิ่นด้วยจมูกได้  ลิ้มรสด้วยลิ้นได้ ถูกต้องโผฏฐัพพะด้วยกายได้ รู้ธรรมารมณ์ด้วยใจได้

สิ่งของชนิดใด มีสาระน้อย จงทิ้งเสีย...  สิ่งของชนิดใดมีสาระมาก จงขนเอาไปเถิด 

 

อ่าน ปายาสิราชัญญสูตร

อ้างอิง
ปายาสิราชัญญสูตร พระไตรปิฎก ฉบับหลวง เล่มที่ ๑๐ ข้อที่ ๓๐๑-๓๓๐
ลำดับที่
11

สถานการณ์

การตอบปัญหาธรรม

พระไตรปิฎกเสียงชุดอื่นๆ

พระธรรม

ธรรมปฏิบัติ

พระธรรม

วิเวก

พระธรรม

ธรรมวิภังค์

พระธรรม

เวทัลลธรรม

พระธรรม

อานุภาพกรรม

พระธรรม

สุคติ สุคโต

พระธรรม

ฆราวาสธรรม