อริยวสสูตรที่ ๒
ธรรมเป็นที่อยู่แห่งพระอริยะ ที่อยู่แล้วก็ดี กำลังอยู่ก็ดี จักอยู่ก็ดีมี ๑๐ ประการ คือ
เป็นผู้ละองค์ ๕ ได้แล้ว
คือ เป็นผู้ละกามฉันทะ ๑ พยาบาท ๑ ถีนมิทธะ ๑ อุทธัจจกุกกุจจะ ๑ วิจิกิจฉา ๑
ประกอบด้วยองค์ ๖
คือ เห็นรูปด้วยจักษุ ฟังเสียงด้วยหู ดมกลิ่นด้วยจมูก ลิ้มรสด้วยลิ้น ถูกต้องโผฏฐัพพะด้วยกาย รู้แจ้งธรรมด้วยใจแล้ว เป็นผู้ไม่ดีใจ ไม่เสียใจ มีอุเบกขา มีสติสัมปชัญญะอยู่
รักษาแต่อย่างเดียว
คือ เป็นผู้ประกอบด้วยใจอันรักษาด้วยสติ
มีธรรมเป็นที่พักพิง ๔ ประการ
คือ ภิกษุในธรรมวินัยนี้ พิจารณาแล้วย่อมเสพของอย่างหนึ่ง ย่อมอดกลั้นของอย่างหนึ่ง ย่อมเว้นของอย่างหนึ่ง บรรเทาของอย่างหนึ่ง
มีปัจเจกสัจจะบรรเทาได้แล้ว
คือ ปัจเจกสัจจะว่า โลกเที่ยงบ้าง โลกไม่เที่ยงบ้าง โลกมีที่สุดบ้าง โลกไม่มีที่สุดบ้าง ชีพก็อันนั้นสรีระก็อันนั้นบ้าง ชีพเป็นอื่นสรีระเป็นอื่นบ้าง สัตว์เมื่อตายไปย่อมเป็นอีกบ้าง สัตว์เมื่อตายไปย่อมไม่เป็นอีกบ้าง สัตว์เมื่อตายไปย่อมเป็นอีกก็มี ย่อมไม่เป็นอีกก็มีบ้าง สัตว์เมื่อตายไปย่อมเป็นอีกก็หามิได้ ย่อมไม่เป็นอีกก็หามิได้บ้าง สัจจะเหล่านั้นทั้งหมดภิกษุบรรเทาได้แล้ว กำจัดออกแล้ว สละได้แล้ว คลายได้แล้ว พ้นได้แล้ว ละได้แล้ว สลัดได้เฉพาะแล้ว
มีการแสวงหาอันสละแล้วด้วยดี
คือ เป็นผู้ละการแสวงหากาม ละการแสวงหาภพ สงบระงับการแสวงหาพรหมจรรย์ได้แล้ว
มีความดำริไม่ขุ่นมัว
คือ เป็นผู้ละความดำริในกาม ความดำริในพยาบาท ความดำริในวิหิงสาได้แล้ว
มีกายสังขารอันสงบระงับแล้ว
คือ ภิกษุในธรรมวินัยนี้ บรรลุจตุตถฌาน ไม่มีทุกข์ ไม่มีสุข เพราะละสุขละทุกข์ และดับโสมนัสโทมนัสก่อนๆ ได้ มีอุเบกขาเป็นเหตุให้สติบริสุทธิ์อยู่
มีจิตหลุดพ้นแล้วด้วยดี
คือ จิตของภิกษุในธรรมวินัยนี้ เป็นธรรมชาติหลุดพ้นแล้วจากราคะ โทสะ โมหะ
มีปัญญาอันหลุดพ้นแล้วด้วยดี
คือ ภิกษุในธรรมวินัยนี้ ย่อมรู้ชัดว่า ราคะ โทสะ โมหะ เราละได้แล้ว ตัดรากขาดแล้ว ทำให้ไม่มี มีอันไม่เกิดอีกต่อไปเป็นธรรมดา
พระอริยเจ้าเหล่าใดเหล่าหนึ่งในอดีตกาล ในอนาคตกาล ในปัจจุบัน อาศัยอยู่ซึ่งธรรมเป็นที่อยู่ของพระอริยเจ้า พระอริยเจ้าเหล่านั้นทั้งหมดย่อมอยู่อาศัยซึ่งธรรมเป็นที่อยู่ของพระอริยเจ้า ๑๐ ประการเหล่านี้
อ่าน อริยวสสูตรที่ ๒