Main navigation
พละ ๔
Share:

ดูกรภิกษุทั้งหลาย กำลัง ๔ ประการนี้ คือ

กำลัง คือ ปัญญา ๑
กำลัง คือ ความเพียร ๑
กำลัง คือ การงานอันไม่มีโทษ ๑
กำลัง คือ การสงเคราะห์ ๑

ก็กำลัง คือ ปัญญาเป็นไฉน

ธรรมเหล่าใดเป็นกุศล นับว่าเป็นกุศล
ธรรมเหล่าใดเป็นอกุศล นับว่าเป็นอกุศล
ธรรมเหล่าใดมีโทษ นับว่ามีโทษ
ธรรมเหล่าใดไม่มีโทษ นับว่าไม่มีโทษ
ธรรมเหล่าใดดำ นับว่าดำ
ธรรมเหล่าใดขาว นับว่าขาว
ธรรมเหล่าใดไม่ควรเสพ นับว่าไม่ควรเสพ
ธรรมเหล่าใดควรเสพ นับว่าควรเสพ
ธรรมเหล่าใดไม่สามารถทำความเป็นพระอริยะ นับว่าไม่สามารถทำความเป็นอริยะ
ธรรมเหล่าใดสามารถทำความเป็นพระอริยะ นับว่าสามารถทำความเป็นพระอริยะ

ธรรมเหล่านั้นเป็นธรรมอันบุคคลเห็นแจ้ง ประพฤติได้ด้วยปัญญา นี้เรียกว่ากำลัง คือ ปัญญา

ก็กำลัง คือ ความเพียรเป็นไฉน

ธรรมเหล่าใดเป็นอกุศล นับว่าเป็นอกุศล
ธรรมเหล่าใดมีโทษ นับว่ามีโทษ
ธรรมเหล่าใดดำ นับว่าดำ
ธรรมเหล่าใดไม่ควรเสพ นับว่าไม่ควรเสพ
ธรรมเหล่าใดไม่สามารถทำความเป็นพระอริยะ นับว่าไม่สามารถทำความเป็นพระอริยะ

บุคคลยังฉันทะให้เกิด พยายามปรารภความเพียร ประคองจิต ตั้งจิตไว้ เพื่อละธรรมเหล่านั้น

ธรรมเหล่าใดเป็นกุศล นับว่าเป็นกุศล
ธรรมเหล่าใดไม่มีโทษ นับว่าไม่มีโทษ
ธรรมเหล่าใดขาว นับว่าขาว
ธรรมเหล่าใดควรเสพ นับว่าควรเสพ
ธรรมเหล่าใดสามารถทำความเป็นพระอริยะ นับว่าสามารถทำความเป็นพระอริยะ

บุคคลย่อมยังฉันทะให้เกิด พยายาม ปรารภความเพียร ประคองจิต ตั้งจิตไว้ เพื่อได้ธรรมเหล่านั้น

นี้เรียกว่ากำลัง คือ ความเพียร

ก็กำลัง คือ การงานอันไม่มีโทษเป็นไฉน

อริยสาวกในธรรมวินัยนี้ เป็นผู้ประกอบด้วยกายกรรม วจีกรรม มโนกรรม อันหาโทษมิได้ นี้เรียกว่ากำลัง คือ การงานอันไม่มีโทษ

ก็กำลัง คือ การสงเคราะห์เป็นไฉน

สังคหวัตถุ ๔ ประการนี้ คือ

ทาน ๑
เปยยวัชชะ ๑
อัตถจริยา ๑
สมานัตตตา ๑

ธรรมทานเลิศกว่าทานทั้งหลาย

การแสดงธรรมบ่อย ๆ แก่บุคคลผู้ต้องการ ผู้เงี่ยโสตลงสดับ นี้เลิศกว่าการพูดถ้อยคำอันเป็นที่รัก

การชักชวนคนผู้ไม่มีศรัทธาให้ตั้งมั่นดำรงอยู่ในศรัทธาสัมปทา
ชักชวนผู้ทุศีล ให้ตั้งมั่นดำรงอยู่ในศีลสัมปทา
ชักชวนผู้ตระหนี่ ให้ตั้งมั่นดำรงอยู่ในจาคสัมปทา
ชักชวนผู้มีปัญญาทราม ให้ตั้งมั่นดำรงอยู่ในปัญญาสัมปทา
นี้เลิศกว่าการประพฤติประโยชน์ทั้งหลาย

พระโสดาบันมีตนเสมอกับพระโสดาบัน
พระสกทาคามีมีตนเสมอกับพระสกทาคามี
พระอนาคามีมีตนเสมอกับพระอนาคามี
พระอรหันต์มีตนเสมอกับพระอรหันต์
นี้เลิศกว่าความมีตนเสมอทั้งหลาย

นี้เรียกว่ากำลัง คือ การสงเคราะห์ ดูกรภิกษุทั้งหลาย

อริยสาวกผู้ประกอบด้วยกำลัง ๔ ประการนี้ ย่อมก้าวล่วงภัย ๕ ประการ

ภัย ๕ ประการเป็นไฉน คือ

อาชีวิตภัย ๑
อสิโลกภัย ๑
ปริสสารัชภัย ๑
มรณภัย ๑
ทุคติภัย ๑

อริยสาวกนั้นพิจารณาเห็นดังนี้ว่า เราไม่กลัวต่อภัยอันเนื่องด้วยชีวิต ไฉนเราจักกลัวต่อภัยอันเนื่องด้วยชีวิตเล่า

เรามีกำลัง ๔ ประการ คือ กำลังปัญญา กำลังความเพียร กำลังการงานอันไม่มีโทษ กำลังการสงเคราะห์

คนที่มีปัญญาทรามจึงกลัวต่อภัยอันเนื่องด้วยชีวิต

คนเกียจคร้านจึงกลัวต่อภัยอันเนื่องด้วยชีวิต คือ กลัวต่อภัยอันเนื่องด้วยชีวิตเพราะการงานทางกาย ทางวาจาและทางใจที่มีโทษ

คนที่ไม่สงเคราะห์ใครก็กลัวต่อภัยอันเนื่องด้วยชีวิต เราไม่กลัวต่อภัย คือ การติเตียน

เราไม่กลัวต่อภัยคือการสะทกสะท้านในบริษัท...

เราไม่กลัวต่อภัยคือความตาย...

เราไม่กลัวต่อภัยคือทุคติ ไฉนเราจักกลัวต่อภัย คือ ทุคติเล่า เพราะเรามีกำลัง ๔ ประการ คือ กำลังปัญญา กำลังความเพียร กำลังการงาน
อันไม่มีโทษ กำลังการสงเคราะห์

คนที่มีปัญญาทรามแล จึงกลัวต่อภัยคือทุคติ

คนเกียจคร้านแล จึงกลัวต่อภัยคือทุคติ คือ กลัวต่อภัยคือทุคติเพราะการงานทางกาย ทางวาจา และทางใจที่มีโทษ

คนที่ไม่สงเคราะห์ใคร ก็กลัวภัยคือทุคติ

อริยสาวกผู้ประกอบด้วยกำลัง ๔ ประการนี้ ย่อมก้าวล่วงภัย ๕ ประการนี้

 

 

อ้างอิง:  
(๑)  พลสูตร พระไตรปิฎก ฉบับหลวง เล่มที่ ๒๓ ข้อที่ ๒๐๙ หน้า ๒๙๒-๒๙๓

คำต่อไป