อุเบกขากับอทุกขมสุขเวทนาเป็นสิ่งเดียวกันไหม
ท่านอาจารย์ครับ ผมศึกษาพระสูตรมาก่อนแล้วมาศึกษาอภิธรรม แล้วเกิดข้อสงสัยครับ อุเบกขากับอทุกขมสุขเวทนาเป็นสิ่งเดียวกันไหมครับ
ที่ถามเช่นนี้ แสดงว่าหลักกาลามสูตรแข็งแรงมาก ดี
ก่อนอื่นเข้าใจหลักธรรมก่อนว่า พระผู้มีพระภาคตรัสว่า
1. เมื่อใดมีทุกขเวทนาเกิดขึ้น เมื่อนั้นสุขเวทนา และอทุกขมสุขเวทนาย่อมไม่เกิดขึ้น
2. เมื่อใดมีสุขเวทนาเกิดขึ้น เมื่อนั้นทุกขเวทนา และอทุกขมสุขเวทนาย่อมไม่เกิดขึ้น
3. เมื่อใดมีอทุกขมสุขเวทนาเกิดขึ้น เมื่อนั้นทุกขเวทนา และสุขเวทนาย่อมไม่เกิดขึ้น
จำหลักตรงนี้ไว้ให้ดีนะ
จากนั้น มาพิจารณาสภาวะในสมาธิลอกขันธ์เลยจะเข้าใจง่าย
ฌาน ๑ ดับนิวรณ์ (ภาวะที่ทำให้กายกระสับกระส่าย = ทุกข์กาย) มีวิตก วิจาร ปีติ สุข เอกัคคตา เกิดขึ้น (สภาวะที่ทำให้สบายกาย)
ฌาน ๒ ดับวิตกวิจาร (ภาวะที่ทำให้สบายกาย) มีปีติ สุข เอกัคคตา เกิดขึ้น (สภาวะที่ทำให้พอใจ)
ฌาน ๓ ดับปีติ (ภาวะที่ทำให้ใจกระเพื่อม = ทุกข์ใจละเอียด) มีสุข เอกัคคตา และอุเบกขาตั้งมั่น อยู่เป็นสุขด้วยนามกายเกิดขึ้น (สภาวะที่ทำให้สุขใจ)
ฌาน ๔ ดับสุข (ภาวะที่ทำให้สุขใจ) มีอุเบกขา และสติบริสุทธิ์รู้ตั้งมั่นอยู่
โดยย่อ
ฌาน ๑ ดับทุกขเวทนาทางกาย มาเป็นสุขทางกาย
ฌาน ๒ ดับสุขเวทนาทางกาย มาเป็นสุขทางใจ (แต่ยังกระเพื่อมอยู่เพราะปีติ)
ฌาน ๓ ดับทุกขเวทนาทางใจ มาเป็นสุขทางใจ และอุเบกขา กอปรสุขในนามกาย (อุเบกขาอยู่กับสุขทางใจ และสุขในนามกายได้)
ฌาน ๔ ดับสุขเวทนาทางใจ เหลือแต่อุเบกขา และสติบริสุทธิ์แล้ว แลอยู่ (เห็นสัจธรรมอยู่)
ธรรมวินิจฉัย
ให้สังเกตุดูฌาน ๓ มีสุข และอุเบกขาอยู่ด้วยกัน นั่นแสดงว่า อุเบกขาไม่ใช่อทุกขมสุขเวทนา เพราะอทุกขมสุขเวทนาจะเกิดพร้อมสุขเวทนาไม่ได้
อ้าวแล้ว อทุกขมสุขเวทนาอยู่ที่ไหน
พอเข้าฌาน ๔ เหลือแต่อุเบกขา และสติบริสุทธิ์ ตรงนี้แหละที่มีอทุกขมสุขเวทนาซ้อนอยู่ กระนั้น อุเบกขาก็เป็นอย่างหนึ่ง อทุกขมสุขเวทนาก็เป็นอย่างหนึ่ง เพียงแต่อยู่ด้วยกันไปจนถึงฌาน ๘
เพราะเหตุที่อุเบกขาและอทุกขมสุขเวทนาอยู่ด้วยกันได้ ชนจำนวนมากจึงโมเมไปว่า อุเบกขาและอทุกขมสุขเวทนาเป็นสิ่งเดียวกัน แต่โดยความเป็นจริงแห่งองค์ธรรม สภาวธรรม และกิจ อุเบกขาและอทุกขมสุขเวทนา เป็นคนละสิ่งกัน
ความต่างระหว่างอุเบกขาและอทุกขมสุขเวทนา
1. อุเบกขาเป็นสภาวะจิตที่ฐานมโน (ใจ)
อทุกขมสุขเวทนา เป็นหนึ่งในธรรมธาตุ (เวทนา สัญญา สังขาร) ที่มากระทบมนายตนะ
2. อุเบกขาอยู่กับสุขได้ เช่น ฌาน ๓ อยู่กับทุกข์ก็ได้ เช่น วิปากจิตสหรคตด้วยอุเบกขา จิตสงบยามเจ็บป่วยและยามใกล้ตาย
อทุกขมสุขเวทนาอยู่กับสุขไม่ได้ อยู่กับทุกข์ไม่ได้
3. อุเบกขา สภาวะจิตสงบ ผ่องใส
อทุกขมสุขเวทนา สภาวะจิตเฉย ๆ ทึ่ม
4. อุเบกขา (อุปะ + อิขะ = เข้าไปเห็น) ก่อให้เกิดปัญญา
อทุกขมสุขเวทนา (รู้สึกเฉย ๆ แต่ไม่เห็น) ก่อให้เกิดโมหะ ด้วยเหตุนี้ ฌาน ๔ - ฌาน ๘ จึงยังไม่ใช่นิพพาน เพราะยังมีโมหะระคนอยู่ จึงยังเสื่อมได้
กระนั้น อุเบกขาก็ยังไม่ใช่นิพพาน เมื่ออุเบกขาก่อให้เกิดปัญญาแล้ว ต้องให้ปัญญาทำงานประเมินสัจธรรมแห่งความมีอยู่ทั้งปวง แล้ววิราคะสิ่งที่ไม่เที่ยง เป็นทุกข์ ไม่เป็นตนออกให้หมด วิราคะเด็ดขาดแล้ว ก็ได้วิมุตติ
5. อุเบกขาเป็นฐานจำเป็นสู่การบรรลุธรรม
ในสัมโพชฌงค์ก็ต้องปฏิบัติจนถึง อุเบกขาสัมโพชฌงค์
ในสัมมาสมาธิก็ต้องปฏิบัติจนถึง อุเบกขาฌาน
ในวิปัสสนาญาณก็ต้องปฏิบัติจนถึง สังขารุเปกขาญาณ
ใน ปัญจกังคสูตร (ฉบับหลวง เล่ม ๑๘ น. ๒๓๗-๒๔๓) พระผู้มีพระภาคทรงอธิบายอุเบกขาฌานว่า มีรสเป็น "สุขสภาวะแห่งจิตหมดจด (สุขสภาวะไม่ใช่สุขเวทนา)" ปรากฏเมื่อจิตอยู่กับจิตเอง เป็นฐานที่ดีสู่การบรรลุธรรม (อย่าลืม องค์ธรรมในฌาน อุเบกขากับสุขอยู่ด้วยกันได้)
และใน นิพพานสูตร (ฉบับหลวง เล่ม ๒๓ น. ๑๔) พระผู้มีพระภาคตรัสว่า สุขหมดจดเมื่อทำงานร่วมกับปัญญา ดับอาสวะได้ ย่อมนำสู่เจโตวิมุตติ ปัญญาวิมุตติ และพระนิพพาน
ส่วนอทุกขมสุขเวทนา รวมทั้งสุขเวทนา ทุกขเวทนา เกิดจากผัสสะ ดับไปเพราะผัสสะดับ ไม่เป็นฐานสู่การบรรลุธรรมใด ๆ ควรสละเสีย
วิธีรู้แจ้งด้วยตนเอง
ปฏิบัติให้ได้ผลทุกสภาวะที่พระพุทธองค์ทรงสอนแล้ว แล้วจะแจ่มแจ้งด้วยจิตเอง ไม่ต้องเชื่อใครอีก ยกเว้นผู้ที่ทำให้เราบรรลุธรรม มีพระพุทธองค์ทรงเป็นประธาน