ฉัปปาณสูตร
พระผู้มีพระภาคตรัสกับภิกษุทั้งหลายว่า
อสังวรย่อมมีอย่างไร
ภิกษุในธรรมวินัยนี้
เห็นรูปด้วยจักษุแล้ว น้อมใจไปในรูปอันน่ารัก ขัดเคืองในรูปอันไม่น่ารัก
ฟังเสียงด้วยหูแล้ว น้อมใจไปในเสียงอันน่ารัก ขัดเคืองในเสียงอันไม่น่ารัก
ดมกลิ่นด้วยจมูกแล้ว น้อมใจไปในกลิ่นอันน่ารัก ขัดเคืองในกลิ่นอันไม่น่ารัก
ลิ้มรสด้วยลิ้นแล้ว น้อมใจไปในรสอันน่ารัก ขัดเคืองในรสอันไม่น่ารัก
ถูกต้องโผฏฐัพพะด้วยกายแล้ว น้อมใจไปในโผฏฐัพพะอันน่ารัก ขัดเคืองในโผฏฐัพพะอันไม่น่ารัก
รู้แจ้งธรรมารมณ์ด้วยใจแล้ว น้อมใจไปในธรรมารมณ์อันน่ารัก ขัดเคืองในธรรมารมณ์อันไม่น่ารัก
ย่อมไม่เป็นผู้เข้าไปตั้งกายคตาสติไว้ มีใจมีประมาณน้อยอยู่ และย่อมไม่รู้ชัดซึ่งเจโตวิมุติ ปัญญาวิมุติ อันเป็นที่ดับไปไม่เหลือแห่งอกุศลธรรมอันลามกเหล่านั้นอันบังเกิดขึ้นแล้วตามความเป็นจริง
เปรียบเหมือนบุรุษจับสัตว์ ๖ ชนิด คือ จับงู จระเข้ นก สุนัขบ้าน สุนัขจิ้งจอก ลิง ซึ่งมีวิสัยต่างกัน มีโคจรต่างกัน แล้วผูกด้วยเชือกอันเหนียวแน่น ครั้นแล้ว ขมวดปมไว้ตรงกลางปล่อยไป
สัตว์ ๖ ชนิดซึ่งมีวิสัยต่างกัน มีโคจรต่างกันเหล่านั้น พึงดึงมาหาโคจรและวิสัยของตน ๆ คือ
งูพึงจักเข้าไปสู่จอมปลวก
จระเข้พึงจักลงน้ำ
นกพึงจักบินขึ้นสู่อากาศ
สุนัขบ้านพึงจักเข้าบ้าน
สุนัขจิ้งจอก พึงจักไปสู่ป่าช้า
ลิงพึงจักเข้าไปสู่ป่า
เมื่อสัตว์ ๖ ชนิดเหล่านั้นต่างก็จะไปตามวิสัยของตน ๆ พึงลำบาก สัตว์ใดมีกำลังมากกว่าสัตว์ทั้งหลาย สัตว์เหล่านั้นพึงอนุวัตรคล้อยตามไปสู่อำนาจแห่งสัตว์นั้น แม้ฉันใด
ภิกษุผู้ไม่ได้อบรม ไม่กระทำให้มากซึ่งกายคตาสติ ก็ฉันนั้นเหมือนกัน
จักษุย่อมฉุดภิกษุนั้นไปในรูปอันเป็นที่พอใจ รูปอันไม่เป็นที่พอใจ ย่อมเป็นของปฏิกูล
หูย่อมฉุดภิกษุนั้นไปในเสียงอันเป็นที่พอใจ เสียงอันไม่เป็นที่พอใจ ย่อมเป็นของปฏิกูล
จมูกย่อมฉุดภิกษุนั้นไปในกลิ่นอันเป็นที่พอใจ กลิ่นอันไม่เป็นที่พอใจ ย่อมเป็นของปฏิกูล
ลิ้นย่อมฉุดภิกษุนั้นไปในรสอันเป็นที่พอใจ รสอันไม่เป็นที่พอใจ ย่อมเป็นของปฏิกูล
กายย่อมฉุดภิกษุนั้นไปในโผฏฐัพพะอันเป็นที่พอใจ โผฏฐัพพะอันไม่เป็นที่พอใจ ย่อมเป็นของปฏิกูล
ใจย่อมฉุดภิกษุนั้นไปในธรรมารมณ์อันเป็นที่พอใจ ธรรมารมณ์อันไม่เป็นที่พอใจ ย่อมเป็นของปฏิกูล
อสังวรย่อม มีได้ด้วยอาการอย่างนี้แล
สังวรย่อมมีอย่างไร
ภิกษุในธรรมวินัยนี้
เห็นรูปด้วยจักษุแล้ว ไม่น้อมใจไปในรูปอันน่ารัก ไม่ขัดเคืองในรูปอันไม่น่ารัก
ฟังเสียงด้วยหูแล้ว ไม่น้อมใจไปในเสียงอันน่ารัก ไม่ขัดเคืองในเสียงอันไม่น่ารัก
ดมกลิ่นด้วยจมูกแล้ว ไม่น้อมใจไปในกลิ่นอันน่ารัก ไม่ขัดเคืองในกลิ่นอันไม่น่ารัก
ลิ้มรสด้วยลิ้นแล้ว ไม่น้อมใจไปในรสอันน่ารัก ไม่ขัดเคืองในรสอันไม่น่ารัก
ถูกต้องโผฏฐัพพะด้วยกายแล้ว ไม่น้อมใจไปในโผฏฐัพพะอันน่ารัก ไม่ขัดเคืองในโผฏฐัพพะอันไม่น่ารัก
รู้แจ้งธรรมารมณ์ด้วยใจแล้ว ไม่น้อมใจไปในธรรมารมณ์อันน่ารัก ไม่ขัดเคืองในธรรมารมณ์อันไม่น่ารัก
เป็นผู้เข้าไปตั้งกายคตาสติไว้ มีใจหาประมาณมิได้อยู่ ย่อมรู้ชัดซึ่งเจโตวิมุติ ปัญญาวิมุติ อันเป็นที่ดับไปไม่เหลือแห่งอกุศลธรรมอันลามกเหล่านั้น อันบังเกิดขึ้นแล้วตามความเป็นจริง
เปรียบเหมือนบุรุษจับสัตว์ ๖ ชนิด คือ จับงู จระเข้ นก สุนัขบ้าน สุนัขจิ้งจอก ลิง ซึ่งมีวิสัยต่างกัน มีโคจรต่างกัน แล้วผูกด้วยเชือกอันเหนียวแน่น ครั้นแล้ว พึงผูกไว้ที่หลักหรือที่เสาอันมั่นคง
สัตว์ ๖ ชนิดเหล่านั้น ซึ่งมีวิสัยต่างกัน มีโคจรต่างกัน พึงดึงมาสู่โคจรและวิสัยของตน ๆ
เมื่อใด สัตว์ ๖ ชนิดเหล่านั้นต่างก็จะไปตามวิสัยของตน ๆ พึงลำบาก เมื่อนั้น สัตว์เหล่านั้นพึงยืนแนบ นั่งแนบ นอนแนบหลักหรือเสานั้นเอง แม้ฉันใด
ภิกษุรูปใดรูปหนึ่งอบรม กระทำให้มาก ซึ่งกายคตาสติ ก็ฉันนั้นเหมือนกัน
จักษุย่อมไม่ฉุดภิกษุนั้นไปในรูปอันเป็นที่พอใจ รูปอันไม่เป็นที่พอใจ ย่อมไม่เป็นของปฏิกูล
หูย่อมไม่ฉุดภิกษุนั้นไปในเสียงอันเป็นที่พอใจ เสียงอันไม่เป็นที่พอใจ ย่อมไม่เป็นของปฏิกูล
จมูกย่อมไม่ฉุดภิกษุนั้นไปในกลิ่นอันเป็นที่พอใจ กลิ่นอันไม่เป็นที่พอใจ ย่อมไม่เป็นของปฏิกูล
ลิ้นย่อมไม่ฉุดภิกษุนั้นไปในรสอันเป็นที่พอใจ รสอันไม่เป็นที่พอใจ ย่อมไม่เป็นของปฏิกูล
กายย่อมไม่ฉุดภิกษุนั้นไปในโผฏฐัพพะอันเป็นที่พอใจ โผฏฐัพพะอันไม่เป็นที่พอใจ ย่อมไม่เป็นของปฏิกูล
ใจย่อมไม่ฉุดไปในธรรมารมณ์อันเป็นที่พอใจ ธรรมารมณ์อันไม่เป็นที่พอใจ ย่อมไม่เป็นของปฏิกูล
สังวรย่อมมีด้วยอาการอย่างนี้แล
คำว่า หลักหรือเสาอันมั่นคงนั้น เป็นชื่อของกายคตาสติ
เพราะเหตุนั้น เธอทั้งหลายพึงศึกษาอย่างนี้ว่า กายคตาสติ เราทั้งหลายจักอบรม กระทำให้มาก กระทำให้เป็นดังยาน กระทำให้เป็นที่ตั้ง ให้มั่นคง สั่งสมแล้ว ปรารภดีแล้ว
อ่าน ฉัปปาณสูตร