นิโรธสูตร
ท่านพระสารีบุตรกล่าวกับภิกษุทั้งหลายว่า
ภิกษุผู้ถึงพร้อมด้วยศีล สมาธิ ปัญญา พึงเข้าสัญญาเวทยิตนิโรธบ้าง พึงออกจากสัญญาเวทยิตนิโรธบ้าง ข้อนั้นเป็นฐานะที่จะมีได้ ถ้าภิกษุนั้นไม่บรรลุอรหัตผลในปัจจุบัน ก็ก้าวล่วงความเป็นสหายเหล่าเทพผู้มีกวฬิงการาหารเป็นภักษา เข้าถึงเหล่าเทพผู้มีฤทธิ์ทางใจบางเหล่า พึงเข้าสัญญาเวทยิตนิโรธบ้าง พึงออกจากสัญญาเวทยิตนิโรธบ้าง ข้อนั้นเป็นฐานะที่จะมีได้
ท่านพระอุทายีได้คัดค้านท่านพระสารีบุตรถึง ๓ ครั้งว่า
ข้อที่ภิกษุก้าวล่วงความเป็นสหายเหล่าเทพผู้มีกวฬิงการาหารเป็นภักษา เข้าถึงเหล่าเทพผู้มีฤทธิ์ทางใจบางเหล่า พึงเข้าสัญญาเวทยิตนิโรธบ้าง พึงออกจากสัญญาเวทยิตนิโรธบ้าง นั้นมิใช่ฐานะ มิใช่โอกาส ข้อนั้นไม่เป็นฐานะที่จะมีได้
ท่านพระสารีบุตรคิดว่า ท่านพระอุทายีคัดค้านท่านถึง ๓ ครั้ง และภิกษุบางรูปก็ไม่อนุโมทนาภาษิตของท่าน ท่านพึงเข้าไปเผ้าพระผู้มีพระภาคถึงที่ประทับ แล้วกล่าวกะภิกษุทั้งหลายว่า
ภิกษุในธรรมวินัยนี้ ผู้ถึงพร้อมด้วยศีล ถึงพร้อมด้วยสมาธิ ถึงพร้อมด้วยปัญญา พึงเข้าสัญญาเวทยิตนิโรธบ้าง พึงออกจากสัญญาเวทยิตนิโรธบ้าง ข้อนั้นเป็นฐานะที่จะมีได้ ถ้าเธอไม่พึงบรรลุอรหัตผลในปัจจุบันไซร้ เธอก็ก้าวล่วงความเป็นสหายเหล่าเทพผู้มีกวฬิงการาหารเป็นภักษา เข้าถึงเหล่าเทพผู้มีฤทธิ์ทางใจบางเหล่า พึงเข้าสัญญาเวทยิตนิโรธบ้าง พึงออกจากสัญญาเวทยิตนิโรธบ้าง ข้อนั้นเป็นฐานะที่จะมีได้
ท่านพระอุทายีก็ยังคงคัดค้านท่านพระสารีบุตรถึง ๓ ครั้ง แม้ต่อหน้าพระพักตร์พระผู้มีพระภาค และภิกษุบางรูปก็ไม่อนุโมทนาภาษิต พระสารีบุตรจึงคิดว่าท่านพึงนิ่งเสีย
พระผู้มีพระภาคจึงถามท่านพระอุทายีว่า พระอุทายีหมายถึงเหล่าเทพผู้มีฤทธิทางใจเหล่าไหน
เมื่อพระอุทายีทูลตอบว่าหมายถึงเหล่าเทพชั้นอรูปที่สำเร็จด้วยสัญญา พระผู้มีพระภาคได้กล่าวว่าพระอุทายีเป็นพาล ไม่ฉลาด จึงได้กล่าวอย่างนั้น
แล้วตรัสกับพระอานนท์ว่าเหตุไรจึงวางเฉยเมื่อภิกษุผู้เถระถูกเบียดเบียนอยู่
แล้วได้ตรัสกับภิกษุทั้งหลายว่า ภิกษุในธรรมวินัยนี้ ผู้ถึงพร้อมด้วยศีล สมาธิ ปัญญา พึงเข้าสัญญาเวทยิตนิโรธบ้าง พึงออกจากสัญญาเวทยิตนิโรธบ้าง ข้อนั้นเป็นฐานะที่จะมีได้
เมื่อทรงหลีกออกจากที่เร้นในเวลาเย็น เสด็จเข้าไปนั่งที่อุปัฏฐานศาลา ได้ตรัสถามท่านพระอุปวาณะว่า
ภิกษุผู้เถระประกอบด้วยธรรมเท่าไร ย่อมเป็นที่รัก เป็นที่พอใจ เป็นที่เคารพ และเป็นที่ยกย่องของเพื่อนพรหมจรรย์
ท่านพระอุปวาณะกราบทูลว่า
ภิกษุผู้เถระประกอบด้วยธรรม ๕ ประการ ย่อมเป็นที่รัก เป็นที่พอใจ เป็นที่เคารพ และเป็นที่ยกย่องของเพื่อนพรหมจรรย์ คือ
ภิกษุในธรรมวินัยนี้ เป็นผู้มีศีล สำรวมระวังในพระปาติโมกข์
เป็นพหูสูต ทรงไว้ซึ่งสุตะ สั่งสมสุตะ
เป็นผู้มีวาจาไพเราะ มีถ้อยคำไพเราะ ประกอบด้วยวาจาชาวเมืองอันสละสลวย ไม่มีโทษ
เป็นผู้ได้ตามความปรารถนา ได้โดยไม่ยาก ไม่ลำบาก ซึ่งฌาน ๔ อันมีในจิตยิ่ง
ย่อมทำให้แจ้งซึ่งเจโตวิมุติ ปัญญาวิมุติ อันหาอาสวะมิได้
พระผู้มีพระภาคตรัสว่า ถ้าหากว่าธรรม ๕ ประการนี้ ไม่พึงมีแก่ภิกษุผู้เถระ เพื่อนพรหมจรรย์พึงสักการะ เคารพ นับถือ บูชาโดยความเป็นผู้มีฟันหัก มีผมหงอก มีหนังย่น แต่เพราะธรรม ๕ ประการนี้มีแก่ภิกษุผู้เถระ ฉะนั้น เพื่อนพรหมจรรย์จึงสักการะ เคารพ นับถือ บูชา
อ่าน นิโรธสูตร