อุปาลีสูตร
พระพุทธเจ้าตรัสว่า ป่าและราวป่าอันสงัด อยู่ลำบาก ทำความวิเวกได้ยาก ยากที่จะอภิรมย์ในการอยู่ผู้เดียว ป่าจะนำใจของภิกษุผู้ไม่ได้สมาธิไปเสีย
ผู้ใดกล่าวว่า เมื่อเราไม่ได้สมาธิ จะเสพเสนาสนะ คือ ป่าและราวป่าอันสงัด ผู้นั้นจำต้องหวังผล คือ จมลงหรือจักฟุ้งซ่าน โดยทรงอุปมาการอยู่ป่าของบุคคลผู้ยังไม่มีสมาธิว่า เปรียบเหมือนกระต่ายที่ต้องการเล่นน้ำในแม่น้ำเช่นเดียวกับช้าง เมื่อก้าวลงไปเล่นน้ำ ก็จะจมลง ต่างจากช้างซึ่งมีตัวใหญ่สามารถยืนเล่นน้ำได้
และทรงอุปมาถึงการเล่นของเด็กๆ ว่าจะเปลี่ยนการเล่นให้ดียิ่งกว่าและประณีตกว่าตามวัยที่โตขึ้น เช่นเดียวกับการอยู่ของภิกษุที่ดียิ่งกว่าและประณีตกว่าตามลำดับ
ภิกษุประกอบด้วยศีลขันธ์ อินทรีย์สังวร สติสัมปชัญญะอันเป็นอริยะนี้ ซ่องเสพเสนาสนะอันสงัด คือ ป่า โคนไม้ ภูเขา ซอกเขา ถ้ำ ป่าช้า ป่าชัฏ ที่แจ้ง ลอมฟาง ภิกษุนั้นอยู่ป่า อยู่โคนไม้ หรืออยู่เรือนว่างเปล่า ย่อมนั่งคู้บัลลังก์ตั้งกายตรง ดำรงสติเฉพาะหน้า ละนิวรณ์ ๕ ได้แล้ว
ครั้นละนิวรณ์อันเป็นเครื่องเศร้าหมองใจ ทำปัญญาให้ทึบ ๕ ประการนี้ได้แล้ว สงัดจากกาม สงัดจากอกุศลธรรม
บรรลุปฐมฌาน มีวิตก วิจาร มีปีติและสุขเกิดแต่วิเวกอยู่
การอยู่เช่นนี้ เป็นการอยู่ที่ดียิ่งกว่าและประณีตกว่าการอยู่อันมีในก่อน
สาวกทั้งหลายของเราพิจารณาเห็นอยู่ซึ่งธรรมนี้ (ว่ามีอยู่) ในตน จึงซ่องเสพเสนาสนะ คือ ป่าและราวป่าอันสงัด
ภิกษุบรรลุทุติยฌาน มีความผ่องใสแห่งจิต ในภายใน เป็นธรรมเอกผุดขึ้น ไม่มีวิตก ไม่มีวิจาร เพราะวิตกวิจารสงบไป มีปีติและสุขอันเกิดแต่สมาธิอยู่
การอยู่เช่นนี้ เป็นการอยู่ที่ดียิ่งกว่าและประณีตกว่าการอยู่อันมีในก่อน
ภิกษุมีอุเบกขา มีสติสัมปชัญญะ เสวยสุขด้วยนามกาย เพราะปีติสิ้นไป บรรลุตติยฌานที่พระอริยเจ้าทั้งหลายสรรเสริญว่า ผู้ได้ฌานนี้เป็นผู้มีอุเบกขา มีสติ อยู่เป็นสุข
การอยู่เช่นนี้เป็นการอยู่ที่ดียิ่งกว่าและประณีตกว่าการอยู่อันมีในก่อน
ภิกษุบรรลุจตุตถฌาน ไม่มีทุกข์ ไม่มีสุข เพราะละสุข ละทุกข์และดับโสมนัสโทมนัสก่อนๆ ได้ มีอุเบกขาเป็นเหตุให้สติบริสุทธิ์อยู่
การอยู่เช่นนี้ เป็นการอยู่ที่ดียิ่งกว่าและประณีตกว่าการอยู่อันมีในก่อน
เพราะก้าวล่วงรูปสัญญา เพราะดับปฏิฆสัญญาเสียได้ เพราะไม่ใส่ใจถึงนานัตตสัญญาโดยประการทั้งปวง
ภิกษุจึงบรรลุอากาสานัญจายตนฌาน โดยคำนึงว่า อากาศไม่มีที่สุด
การอยู่เช่นนี้ เป็นการอยู่ที่ดียิ่งกว่าและประณีต กว่าการอยู่อันมีในก่อน
เพราะก้าวล่วงอากาสานัญจายตนฌานโดยประการทั้งปวง
ภิกษุจึงบรรลุวิญญาณัญจายตนฌาน โดยคำนึงว่า วิญญาณไม่มีที่สุด
การอยู่เช่นนี้ เป็นการอยู่ที่ดียิ่งกว่าและประณีต กว่าการอยู่อันมีในก่อน
เพราะก้าวล่วงวิญญาณัญจายตนฌานโดยประการทั้งปวง
ภิกษุจึงบรรลุอากิญจัญญายตนฌาน โดยคำนึงว่า หน่อยหนึ่งไม่มี
เพราะก้าวล่วงอากิญจัญญายตนฌานโดยประการทั้งปวง
ภิกษุจึงบรรลุเนวสัญญานาสัญญายตนฌาน โดยคำนึงว่า ธรรมชาตินี้สงัด ธรรมชาตินี้ประณีต
การอยู่เช่นนี้ เป็นการอยู่ที่ดียิ่งกว่าและประณีตกว่าการอยู่อันมีในก่อน
เพราะก้าวล่วงเนวสัญญานาสัญญายตนฌาน โดยประการทั้งปวง
ภิกษุจึงบรรลุสัญญาเวทยิตนิโรธสมาบัติอยู่ และอาสวะของภิกษุนั้นเป็นกิเลสหมดสิ้นไปแล้ว เพราะเห็นด้วยปัญญา
การอยู่เช่นนี้ เป็นการอยู่ที่ดียิ่งกว่าและประณีตกว่า การอยู่อันมีในก่อน
สาวกทั้งหลายของเราพิจารณาเห็นอยู่ซึ่งธรรมนี้ (ว่ามีอยู่) ในตน จึงซ่องเสพเสนาสนะ คือ ป่าและราวป่าอันสงัด แต่ว่าสาวกเหล่านั้นยังไม่บรรลุประโยชน์ของตนโดยลำดับก่อน
แล้วจึงทรงบอกให้พระอุบาลีอยู่ในสงฆ์ เมื่ออยู่ในสงฆ์ ความสำราญจักมี ฯ
อ่าน อุปาลีสูตร