พระพุทธองค์ทรงเยี่ยมไข้
เมื่อทีฆาวุอุบาสกกราบทูลพระผู้มีพระภาคว่าตนอดทนไม่ได้ ทุกขเวทนากำเริบหนัก ไม่ทุเลาลงเลย พระผู้มีพระภาคได้ทรงกล่าวกับทีฆาวุอุบาสกว่า เพราะเหตุนั้น ทีฆาวุอุบาสกพึง
องค์แห่งธรรมเป็นเครื่องบรรลุโสดา ๔
๑. เป็นผู้ประกอบด้วยความเลื่อมใสอันไม่หวั่นไหวในพระพุทธเจ้าว่า พระผู้มีพระภาคเป็นพระอรหันต์ ตรัสรู้เองโดยชอบ ถึงพร้อมด้วยวิชชาและจรณะ เสด็จไปดีแล้ว ทรงรู้แจ้งโลก เป็นสารถีฝึกบุรุษที่ควรฝึก ไม่มีผู้อื่นยิ่งกว่า เป็นศาสดาของเทวดาและมนุษย์ทั้งหลาย เป็นผู้เบิกบานแล้ว เป็นผู้จำแนกธรรม
๒. เป็นผู้ประกอบด้วยความเลื่อมใสอันไม่หวั่นไหวในพระธรรมว่า พระธรรมอันพระผู้มีพระภาคตรัสดีแล้ว อันผู้ได้บรรลุจะพึงเห็นเอง ไม่ประกอบด้วยกาล ควรเรียกให้มาดู ควรน้อมเข้ามา อันวิญญูชนพึงรู้เฉพาะตน
๓. เป็นผู้ประกอบด้วยความเลื่อมใสอันไม่หวั่นไหวในพระสงฆ์ว่า พระสงฆ์สาวกของพระผู้มีพระภาค ปฏิบัติดีแล้ว ปฏิบัติตรง ปฏิบัติเป็นธรรม ปฏิบัติสมควร คือ คู่แห่งบุรุษ ๔ บุรุษบุคคล ๘ นี่พระสงฆ์สาวกของพระผู้มีพระภาค ผู้ควรของคำนับ ควรของต้อนรับ ควรของทำบุญ ควรทำอัญชลี เป็นนาบุญของโลก ไม่มีนาบุญอื่นยิ่งกว่า
๔. เป็นผู้ประกอบด้วยศีลที่ไม่ขาด ไม่ทะลุ ไม่ด่าง ไม่พร้อย วิญญูชนสรรเสริญ อันตัณหาและทิฏฐิไม่ลูบคลำแล้ว เป็นไปเพื่อสมาธิ
และทรงกล่าวต่อไปว่า เมื่อฑีฆาวุอุบาสกได้ตั้งอยู่ในองค์แห่งธรรมเป็นเครื่องบรรลุโสดา ๔ แล้ว ให้เจริญธรรมอันเป็นส่วนแห่งวิชชา ๖ ให้ยิ่งขึ้นไปด้วยการพิจารณาเห็นสังขารทั้งปวงว่าเป็นของไม่เที่ยง มีความสำคัญในสิ่งที่ไม่เที่ยงว่า เป็นทุกข์ มีความสำคัญในสิ่งที่เป็นทุกข์ว่า เป็นอนัตตา มีความสำคัญในการละ มีความสำคัญในความคลายกำหนัด มีความสำคัญในการดับ
เมื่อฑีฆาวุกราบทูลพระพุทธเจ้าว่าไม่อยากให้บิดาของตนเป็นทุกข์ โชติยคฤหบดีก็ได้บอกฑีฆาวุว่าอย่าได้ใส่ใจถึงเรื่องนี้ จงใส่ใจพระพุทธพจน์ที่พระผู้มีพระภาคตรัสให้ดี
เมื่อพระพุทธเจ้าเสด็จจากไปไม่นาน ฑีฆาวุอุบาสกก็ทำกาละ เป็นอุปปาติกะ เพราะสังโยชน์ ๕ สิ้นไป
อ่าน ฑีฆาวุสูตร