เปรียบความตายเหมือนงูลอกคราบ
พระพุทธองค์ตรัสกับกุฎุมพีผู้เศร้าโศกเพราะการตายของภรรยาและบุตรว่า
สิ่งที่มีการแตกทำลายหรือพินาศเป็นธรรมดา ย่อมจะแตกทำลายหรือพินาศไป และไม่ได้เกิดแก่คนผู้เดียวหรือหมู่บ้านเดียวเท่านั้น เป็นสภาวธรรม คือ ความไม่ตายย่อมไม่มีในภพทั้งสามในจักรวาล สังขารไม่สามารถดำรงอยู่โดยภาวะนั้น สังขารย่อมไม่เที่ยง สัตว์ทั้งปวงมีความตายเป็นธรรมดา สังขารทั้งหลายมีการแตกสลายไปเป็นธรรมดา
เมื่อบุตรของกุฏุมพีตายแล้ว คิดว่า สิ่งที่มีการพินาศไปเป็นธรรมดา พินาศไปแล้ว จึงไม่เศร้าโศกเลย
และทรงนำเรื่องในอดีตมาสาธกดังต่อไปนี้
ในอดีตกาล พระโพธิสัตว์บังเกิดในสกุลพราหมณ์ มีครอบครัวประกอบด้วยพระโพธิสัตว์ ภรรยา บุตรชาย บุตรสาว ลูกสะใภ้ และทาสี รวม ๖ คน ด้วยกัน อยู่กันสมัครสมานยินดีและด้วยความรัก
พระโพธิสัตว์ได้ให้โอวาทแก่คนทั้ง ๕ ว่า
จงให้ทานตามทำนองที่หาได้เท่านั้น จงรักษาศีล กระทำอุโบสถกรรม เจริญมรณัสสติ จงกำหนดถึงภาวะคือความตายของท่านทั้งหลาย เพราะความตายของสัตว์เหล่านี้ เป็นของยั่งยืน ชีวิตไม่ยั่งยืน สังขารทั้งปวงไม่เที่ยง มีความเสื่อมสิ้นไปเป็นธรรมเทียว ท่านทั้งหลายจงเป็นผู้ไม่ประมาททั้งกลางคืน และกลางวัน
ชนทั้ง ๕ นั้นรับโอวาทว่า สาธุ เป็นผู้ไม่ประมาท เจริญมรณสติอยู่
วันหนึ่ง พระโพธิสัตว์ไปนาพร้อมกับบุตรชาย และบุตรชายถูกงูกัดตาย ท่านได้ยกศพบุตรให้นอนอยู่ที่โคนไม้ คลุมไว้ด้วยผ้า ไม่ร้องไห้ ไม่ปริเทวนาการร่ำไร ไถนาไปพลาง กำหนดถึงความเป็นอนิจจังว่า ก็สิ่งที่มีการแตกเป็นธรรมดา แตกไปแล้ว สิ่งที่มีความตายเป็นธรรมดาตายไปแล้ว สังขารทั้งปวงไม่เที่ยง สำเร็จด้วยความตาย
และได้ฝากให้คนที่เดินมาใกล้ไปแจ้งข่าวกับที่เรือนของท่าน คนในครอบครัวทุกคนมาเพื่อเผาร่างของบุตรชาย ไม่มีความเศร้าโศกและน้ำตาแม้แต่หยดเดียว ทั้งหมดเป็นผู้เจริญมรณัสสติไว้ดีแล้ว
ภพแห่งท้าวสักกะเกิดอาการร้อนด้วยเดชแห่งศีลของชนเหล่านั้น ท้าวสักกะทรงมีพระมนัสเลื่อมใส และเสด็จไปพบพระโพธิสัตว์และครอบครัว สอบถามสาเหตุว่า เพราะเหตุใดเมื่อบุคคลที่เป็นที่รักตาย จึงไม่ร้องไห้
พระโพธิสัตว์ตอบว่า
บุตรของท่านละทิ้งร่างกายของตนไป ดุจงูละทิ้งคราบเก่า ร่างกายใช้อะไรไม่ได้ ทำกาละไปแล้วอย่างนี้ บุตรของข้าพเจ้าถูกเผาอยู่ ย่อมไม่รู้สึกถึงความร่ำไรของหมู่ญาติ เพราะฉะนั้น ข้าพเจ้าจึงไม่เศร้าโศกถึงเขา คติของตนมีอย่างใด เขาก็ย่อมไปสู่คติของตนอย่างนั้น
นางพราหมณีตอบว่า
บุตรนี้มิได้เชื้อเชิญให้เขามาจากปรโลก เขาก็มาเอง แม้เมื่อจะไปจากมนุษยโลกนี้ ก็มิได้อนุญาตให้เขาไป เขามาอย่างใด เขาก็ไปอย่างนั้นไม่เกิดประโยชน์ในการเศร้าโศก เพราะบุตรที่ถูกเผาอยู่ ก็รับรู้ไม่ได้ คติของเขามีอย่างใด เขาก็ไปสู่คติของตนอย่างนั้น
น้องสาวตอบว่า
เมื่อพี่ชายตายแล้ว หากร้องไห้ ก็จะผ่ายผอม ความไม่ยินดีก็จะพึงมีแก่ญาติ มิตรและสหาย พี่ชายที่ถูกเผาอยู่ ก็ไม่รู้สึกถึงความร่ำไห้ของพวกญาติ เพราะฉะนั้น ดิฉันจึงไม่เศร้าโศกถึงพี่ชายนั้น คติของตนมีอย่างใด เขาก็ไปสู่คติของตนอย่างนั้น
ภรรยาตอบว่า
เด็กร้องไห้ขอพระจันทร์อันโคจรอยู่ในอากาศฉันใด การที่บุคคลมาเศร้าโศกถึงผู้ที่ละไปสู่ปรโลกแล้วนี้ ก็มีอุปไมยฉันนั้น คติของตนมีอย่างใด เขาก็ไปสู่คติของตนอย่างนั้น
ทาสีตอบว่า
หม้อน้ำที่แตกแล้ว เชื่อมให้สนิทอีกไม่ได้ ฉันใด การที่บุคคลเศร้าโศกถึงผู้ที่ละไปสู่ปรโลกแล้วนี้ ก็มีอุปไมยฉันนั้น คติของตนมีอย่างใด เขาก็ไปสู่คติของตนอย่างนั้น
ท้าวสักกะทรงสดับธรรมกถาของคนทั้งหมดแล้ว ทรงเลื่อมใสตรัสว่า ท่านทั้งหลายเป็นผู้ไม่ประมาทเจริญมรณัสสติแล้ว และได้เนรมิตทรัพย์อันประมาณไม่ได้ให้ เพื่อไม่ต้องทำการงานด้วยมือของตน ให้ดำรงตนให้ทาน รักษาศีลอยู่จำอุโบสถ และเป็นผู้ไม่ประมาท
ทาสีในครั้งนั้นได้เป็นนางขุชชุตตรา ธิดาได้เป็นนางอุบลวรรณา บุตรได้เป็นพระราหุล มารดาได้เป็นนางเขมา ส่วนพราหมณ์ได้เป็นพระตถาคต
เมื่อจบพระธรรมเทศนา กุฎุมพีนั้นดำรงอยู่ในโสดาปัตติผล
อ่าน อุรคชาดก